Sunday, February 26, 2012

"PALAZZO"ร้านหรู เมนูอาหารอิตาเลียน

ที่มา ASTVผู้จัดการออนไลน์
บรรยากาศร้าน “PALAZZO” โอ่โถง นั่งสบายๆ
ซอยทองหล่อ ถือเป็นหนึ่งในแหล่งอาหารการกินขึ้นชื่อและหลากหลายในกทม. โดยหลังจากที่ "ผู้จัดการตระเวนกิน" ห่างหายจากซอยนี้ไปนาน มื้อนี้เมื่อสบโอกาสเหมาะเลยชักชวนเพื่อนฝูงมาหาของอร่อยๆกินในซอยนี้ ซึ่งเพื่อนคนหนึ่งแนะนำว่าที่ ซอยทองหล่อแห่งนี้ มีร้านอาหารอิตาเลียนที่เพิ่งเปิดได้ไม่นานอยู่ร้านหนึ่ง ร้านนี้มีความน่าสนใจและน่าลิ้มลองอยู่ไม่น้อย พวกเราจึงลงมติกันว่า มื้อนี้จะมุ่งหน้าไปหาความอิ่มอร่อยกันที่ร้าน"PALAZZO" ร้านอาหารอิตาเลียนมาแรงในซอยทองหล่อ 17

"PALAZZO" เป็นร้านอาหารอิตาเลียนที่มีพื้นที่ใหญ่โตพอสมควร เข้ากับชื่อร้าน "PALAZZO" ที่เป็นภาษาอิตาลี แปลว่า พระราชวัง พระราชวังแห่งนี้มีความหรูหราอยู่ภายในบ้านหลังใหญ่ ซึ่งเป็นบ้านเก่าที่นำมาปรับเปลี่ยนตกแต่งให้มีบรรยากาศของการนั่งกินอาหาร ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นสบายๆ เหมือนกับว่าเรามานั่งกินข้าวอยู่ที่บ้าน
บรรยากาศโต๊ะนั่งด้านบนดูอบอุ่นชวนนั่ง
ด้วยพื้นที่ภายในร้านมีหลายส่วนให้เลือกนั่งด้วยกัน ชั้นล่างแบ่งเป็นหลายโซน ฝาผนังทาสีเหลืองดูอบอุ่น มีโต๊ะให้เลือกนั่งในมุมสบายตามใจชอบ มีเคาน์เตอร์บาร์บริการเครื่องดื่มแบบครบครัน มีห้องเก็บไวน์ที่ด้านในมีไวน์จากหลากหลายประเทศให้บริการแก่คนดื่มไวน์ทั้ง หลาย มีห้องไพรเวทให้บริการอยู่ด้านหลัง และยังมีโซนด้านหน้าที่ตกแต่งห้องสไตล์ชิวๆ ชวนนั่งสบายๆ ส่วนชั้นสองบรรยากาศคล้ายด้านล่าง แต่จะมีส่วนที่เป็นพื้นที่เปิดโล่งอยู่ด้านหน้าให้นั่งกินอาหารแบบรับลม เย็นๆ
เชฟชาวอิตาเลียน Giuseppe Gigantino ผู้รังสรรค์เมนูอิตาเลียน
แค่บรรยากาศก็ชวนให้น่าหลงใหลแล้ว มาถึงเรื่องอาหารอิตาเลียนที่พวกเราตั้งหน้าตั้งตามากินนั้น ขอบอกว่าก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะที่นี่บริการอาหารอิตาเลียนแบบครบครัน อีกทั้งยังเป็นสไตล์อิตาเลียนขนานแท้ ที่วัตถุดิบส่วนใหญ่นำเข้ามาจากอิตาลี รวมถึงมีเชฟเจ้าของต้นตำรับที่เป็นชาวอิตาเลียน ชื่อGiuseppe Gigantino มาเป็นพ่อครัวปรุงอาหารอิตาเลียนรสชาติดีที่ชวนกินทั้งนั้น
Zucchini and shrimp wrapped in Parmiggiano cheese
มื้อนี้พวกเรามากันหลายคนเลยเลือกสั่งมากินกันหลายอย่าง เริ่มจากกินเมนูเรียกน้ำย่อยอย่าง Zucchini and shrimp wrapped in Parmiggiano cheese (350 บาท++) เมนูนี้มีซูกินี่ที่นำมาผัดปรุงรสชาติกับซอสสูตรเด็ดของทางร้าน และใส่มาในกระทงกรอบที่ทำมาจากชีส และมีกุ้งทอดวางมาด้วย พร้อมกับราดด้วยซอสสูตรเด็ดอีกที ชิมรสชาติซูกินี่นิ่มๆ ฉ่ำซอสที่ออกรสหวานหอม เคี้ยวกระทงที่ทำจากชีสออกเค็มๆ มันๆ ปาก กินคู่กับกุ้งทอดที่โดนน้ำซอสออกรสหวานๆ
Fettuccine with rock lobster
จานต่อมาขาดไม่ได้สำหรับคนชอบกินเส้นอย่างพวกเราคือต้องสั่ง Fettuccine with rock lobster (450 บาท++) เป็นเส้นเฟตตูชินี่ที่ทางทำเองนำมาผัดกับร็อคล็อบสเตอร์ ใส่มะเขือเทศเชอร์รี่ และใส่ไวท์ไวน์ซอส ชิมรสชาติเส้นเฟตตูชินี่เหนียวนุ่มเคล้ารสชาติซอสที่มีรสกลมกล่อมละเมียด ลิ้น กินเข้ากับร็อคล็อบสเตอร์เนื้อหวาน
Sliced rare beef Aus. tenderloin
เมนูถัดมาเป็นอะไรที่ถูกปากคนชอบกินเนื้อ Sliced rare beef Aus. tenderloin (850 บาท++) เป็นเนื้อเทนเดอร์ลอย จากออสเตรเลียนำมากริลล์แบบมีเดียมแรร์ ปรุงรสชาติด้วยสูตรเด็ดเฉพาะ และมีซอสพริกไทยสดปรุงรสโรยหน้ามาบนชิ้นเนื้อที่สไลด์มาเป็นชิ้นๆ มีสลัดร็อคเก็ตมาให้กินแกล้มด้วย หั่นชิ้นเนื้อส่งเข้าปากเคี้ยวเนื้อนุ่มหนึบหนับปากได้รสชาติความสดของ เนื้อที่หวานฉ่ำ และได้รสซอสพริกไทยที่เคี้ยวมันเผ็ดปากนิดๆ จากตัวพริกไทย
Palazzo Pizza
และอีกหนึ่งเมนูที่พลาดไม่ได้ถ้ามากินอาหารอิตาเลียนนั่นคือ พิซซ่า ที่นี่มีพิซซ่ากว่า 200 หน้า ให้เลือกกิน แถมยังมีเตาทำพิซซ่าโดยเฉพาะที่ใช้ฟืนในการอบพิซซ่า และพิซซ่าที่สั่งมาลิ้มลองนั้นคือ Palazzo Pizza (380 บาท++) ที่เสิร์ฟมาร้อนๆ หอมๆ แบบสไตล์อิตาเลียนแท้ๆ คือบางกรอบ และมีหน้าเป็นผักร็อคเก็ต มะเขือเทศเชอร์รี่ พาร์มาแฮม และใส่ชีสbuffalo mozzarella พิซซ่าของที่นี่รสชาติหน้าที่ใส่มากลมกลืนเข้ากับแป้งพิซซ่าที่เคี้ยวกรอบ บางเบานุ่มปาก
Pannacotta
พวกเราจัดการกินเมนูของคาวไปหลายอย่าง แต่ก็ไม่ลืมที่จะสั่งของหวานมากินปิดท้ายมือล้างปากด้วย เลือกสั่ง Pannacotta (150 บาท++) เย็นๆ ที่เนื้อเนียนนุ่มละเมียดลิ้น ราดด้วยซอสสตรอเบอร์รี่ผสมราสเบอร์รี่หวานหอม อีกหนึ่งเป็น Tiramisu (200 บาท++) ที่กินแล้วรู้สึกสดชื่นหอมหวานกาแฟ
Tiramisu
เพียงแค่นี้ก็เล่นเอาพวกเราอิ่มท้องกันมากแล้ว แต่ว่าที่นี่ยังมีเมนูอิตาเลียนรสดีอีกมากมายที่ชวนกิน และยังมีบุฟเฟต์บริการ ด้วยในช่วงมื้อกลางวันทุกวัน ถ้าเป็นสลัด+ซุป ( 250 บาท++ ) และถ้าเพิ่มเมนคอร์ส ชา,กาแฟ และขนมหวานด้วยจะราคา (310 บาท++) ต้องบอกเลยว่า “PALAZZO” เป็นอีกหนึ่งร้านอาหารอิตาเลียนรสดีที่ "ผู้จัดการตระเวนกิน" ขอแนะนำให้มาลองมาสัมผัสรสชาติกัน

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
ที่มา ASTVผู้จัดการออนไลน์

No comments:

Post a Comment