ขอขอบคุณภาพประกอบจาก รายการภัตตาคารบ้านทุ่ง
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก รายการภัตตาคารบ้านทุ่ง
หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อของสมุนไพร "หญ้าหนวดแมว" มาบ้างแล้วใช่ไหมค่ะ เพราะสรรพคุณของ "หญ้าหนวดแมว" โด่งดังจนโกอินเตอร์ไปสกัดเป็นยาแผนปัจจุบันหลายต่อหลายประเทศแล้วเลยล่ะ ส่วนประเทศไทยก็มีการใช้ "หญ้าหนวดแมว" ในการรักษามานมนาน แต่เพิ่งจะยอมรับอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2528 นี่เองล่ะ วันนี้ทางรายการ "ภัตตาคารบ้านทุ่ง" ก็ เลยนำเอาเจ้า "หญ้าหนวดแมว" นำมาสร้างสรรค์เมนูตามสโลแกนของรายการคือ "สารคดีความรู้ เคียงคู่กับความอร่อย" แต่ก่อนจะไปปรุงอาหารกัน เรามาทำความรู้จักกับ "หญ้าหนวดแมว" กันสักหน่อยดีกว่าค่ะ
หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อของสมุนไพร "หญ้าหนวดแมว" มาบ้างแล้วใช่ไหมค่ะ เพราะสรรพคุณของ "หญ้าหนวดแมว" โด่งดังจนโกอินเตอร์ไปสกัดเป็นยาแผนปัจจุบันหลายต่อหลายประเทศแล้วเลยล่ะ ส่วนประเทศไทยก็มีการใช้ "หญ้าหนวดแมว" ในการรักษามานมนาน แต่เพิ่งจะยอมรับอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2528 นี่เองล่ะ วันนี้ทางรายการ "ภัตตาคารบ้านทุ่ง" ก็ เลยนำเอาเจ้า "หญ้าหนวดแมว" นำมาสร้างสรรค์เมนูตามสโลแกนของรายการคือ "สารคดีความรู้ เคียงคู่กับความอร่อย" แต่ก่อนจะไปปรุงอาหารกัน เรามาทำความรู้จักกับ "หญ้าหนวดแมว" กันสักหน่อยดีกว่าค่ะ
สำหรับสรรพคุณของ "หญ้าหนวดแมว" นั้น มีสรรพคุณแก้นิ่วแบบชะงักงันเลยนะ เพียงแค่ต้มดื่มก็ทำให้ก้อนนิ้วสลายไปได้ โดยคุณยาย ชาวดงขี้เหล็ก อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ได้เล่าให้ฟังว่า มีคนป่วยเป็นโรคนิ่วก้อนโต หมอจึงนัดผ่าตัดในสัปดาห์ต่อมา แต่ผู้ป่วยคนนั้นได้พบว่า ที่นี่มี "หญ้าหนวดแมว" ปลูกเยอะ จึงมาหาตนแล้วตนก็แนะนำวิธีต้ม "หญ้าหนวดแมว" ไปให้ โดยให้ต้มกับหม้อดินกินเช้าเย็น หรือต้มกินจนกว่าสีน้ำของยาจางเป็นสีขาว ซึ่งผู้ป่วยดังกล่าวก็ทำตาม ต้มหญ้าหนวดแมว ดื่มเช้า-เย็นติดกันสองวัน พอถึงวันนัดผ่าตัด ปรากฎว่า คุณหมอตรวจไม่พบก้อนนิ่ว เอ็กซเรย์ก็แล้ว ส่องกล้องก็แล้ว แต่ก็ไม่พบ ผู้ป่วยจึงไม่ต้องผ่าตัด และหายจากการเป็นโรคนิ่วในที่สุด
ว่าแล้วก็มารู้จักกับโรคนิ่วกันสักเล็กน้อย... โรคนิ่วแบ่งออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ ๆ คือ นิ่วกรด หรือที่เรียกกันว่า นิ่วคนรวย และนิ่วด่างคือ นิ่วคนจน สำหรับนิ่วด่างนั้นจะพบมากในชาวบ้านแถวภาคอีสาน เพราะแหล่งน้ำหาดื่มได้ยาก อีกทั้งยังมีหินปูนสะสมอยู่ ทำให้เกิดโรคนิ่วได้ง่าย โดย นิ่วจะมีลักษณะเป็นเม็ดแข็ง ๆ ขนาดประมาณเม็ดมะละกอ หรือเม็ดถั่วเขียว ส่วนนิ่วกรดนั้น เป็นนิ่วของคนที่กินดีอยู่ดีมากเกินไป โดยเฉพาะคนที่ชอบกินเนื้อสัตว์ ไม่ค่อยดื่มน้ำ และอั้นฉี่ ซึ่งลักษณะของนิ่วกรดจะแตกต่างกับนิ่วด่างคือ นิ่วค่อนข้างร่วนคล้ายเนื้อทราย แพทย์ตรวจพบได้ยาก และเมื่อปัสสาวะออกมาจะเป็นสีเหลืองเข้ม ค่อนข้างข้น ปัสสาวะกระปิดกระปรอย หรือรู้สึกว่าปัสสาวะไม่สุดเสียที
นอกจากนี้ "หญ้าหนวดแมว" ยัง มีสรรพคุณในการขับปัสสาวะ แถมยังต้านอนุมูลอิสระได้ด้วยอีกนะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะรับประทาน เพราะว่าฤทธิ์ของหญ้าหนวดแมวจะขับปัสสาวะให้ออกมามากกว่าปกติ อาจจะส่งผลกระทบต่อโรคหัวใจก็เป็นได้...
เอ้า... ทราบสรรพคุณพร้อมสรรพแล้ว เรามาเปลี่ยนจากสมุนไพรขม ๆ ให้เป็นอาหารรสเด็ดกันดีกว่า...
แต่ก่อนอื่นต้องไปเก็บหญ้าหนวดแมวเสียก่อน โดยเลือกเอาเฉพาะต้นที่แข็งแรง ใบหนา ๆ มีสีเขียวเข้ม และเป็นมัน ตัด ฉับ ฉับ ฉับ ออกมา เสร็จแล้วก็ทำการเด็ดใบแล้วล้างน้ำให้สะอาด เพียงเท่านี้ก็ได้สมุนไพรหญ้าหนวดแมวไว้ปรุงอาหารแล้วล่ะค่ะ
เริ่มเมนูแรกกับเมนูที่มีชื่อว่า "อ่อมแซ่บปูนาใส่หญ้าหนวดแมว" แหม... ได้ยินชื่อก็น้ำลายสอกันแล้วใช่ไหมค่ะ วิธีทำก็ไม่ยาก เพียงแค่มีปูนาตัวโต ๆ กับหญ้าหนวดแมว เท่านี้เอง เริ่มแรกก็ล้างปู นำส่วนมันปูออกมา แล้วตำปูให้แหลก เสร็จแล้วก็ใส่น้ำเปล่ากรองจนได้น้่ำปู จากนั้นก็มาทำเครื่องแกงกันค่ะ โดยการนำ พริกแห้ง หอมแดง กระชาย ตะไคร้ ใส่น้ำเปล่า ตำผสมกัน เสร็จแล้วนำเครื่องปรุงทั้งหมดใส่หม้อต้มจนเดือด ปรุงรสชาติ ด้วยน้ำปลา น้ำปู และมันปู ถ้าจะให้ดีใส่ปูลงไปทั้งตัวเพื่อความอร่อย ปิดท้ายด้วยหันบวบชิ้นพอดีคำใส่ลงไป หญ้าหนวดแมว เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
ส่วนเมนูที่ 2 เป็นเมนูที่น่าจะถูกใจวัยรุ่น เพราะวัยรุ่นเด็กแนวย่านนั้นมาช่วยกันคิดช่วยกันทำ โดยได้ร่วมกันตั้งชื่อเมนูว่า "หญ้าหนวดแมวแนวกรุ๊บกรอบ" ซึ่ง เมนูนี้ก็ทำง๊ายง่าย เพียงแค่เตรียมแป้งเพื่อทอดกรอบ โดยการใส่แป้ง ผสมน้ำเย็น ใส่ไข่แล้วตีผสมกัน จากนั้นนำตะไคร้ซอย พริกไทดำตำละเอียด ปลาหมึกแห้งหันพอดีคำ และหมูสับ ใส่ลงไปในแป้งทอดกรอบ เสร็จแล้วก็ใส่พริกแก้งคนให้เข้ากัน ปิดท้ายด้วยการนำหญ้าหนวดแมวใส่เข้าไป ตั้งน้ำมันร้อน ๆ ในกระทะ ตักทอดเป็นชิ้น ๆ ทอดจนเป็นสีเหลืองทอง ทิ้งให้สะเด็ดน้ำมัน เพียงเท่านี้เราก็จะได้ "หญ้าหนวดแมวแนวกรุ๊บกรอบ" ไว้ทานแล้ว ใครจะเพิ่มรสชาติด้วยการทานกับน้ำจิ้มไก่ หรือซอสมะเขือเทศ ก็อร่อยกันไปคนละแบบ ^ ^
จากหญ้าหนวดแมว รสชาติขม ก็ถูกแปรรูปจนมีรสชาติที่กินง่ายแถมหน้าตา น่ารับประทานอีกด้วย ... เอ้าเพื่อน ๆ คนไหนสนใจอยากสร้างสรรค์เมนูจากสมุนไพร ก็สามารถติดตามชมรายการ "ภัตตาคารบ้านทุ่ง" กันได้นะคะ รายการนี้มีเมนูเด็ด ๆ แต่สรรพคุณเยี่ยมมาให้เราได้ดูได้ชมกันทุกสัปดาห์เลยล่ะ ออกอากาศทุกวันอาทิตย์ เวลา 17.30 น. - 18.00 น. นะจ้ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
รายการ ภัตตาคารบ้านทุ่ง
เครปเค้กเนื้อนุ่ม กับราสเบอร์รี่ซอส อร่อยกำลังดี
เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ Stradivarius
เพื่อน ๆ คนไหนที่ชื่นชอบของหวานเป็นชีวิตจิตใจ โดยเฉพาะของหวานอย่าง เจ้าเครปเค้กเนื้อนุ่มละมุนลิ้น วันนี้กระปุกดอทคอมก็ขอเอาใจสาวกเครปเค้กทั้งหลาย นำเมนูที่มีชื่อเก๋ไก๋ว่า "Mille Crepe Cake with Raspberry Sauce" ของคุณ Stradivarius มาฝากกัน... อ่ะอ่ะ เห็นภาพแล้ว หลายคนอาจจะคิดว่า เจ้าเครปเค้กเนื้อนิ่ม กับราสเบอร์รี่ซอสนี่ คงจะมีวิธีทำยุ่งยากใช่ไหมล่ะค่ะ แต่ขอบอกเลยว่า ไม่ยากอย่างที่คิดเลยล่ะ
เอ้า...ลอง คิดดูซิว่า เครปเค้กเนื้อนุ่มทาครีมหวาน ๆ วางซ้อนทับกันหลาย ๆ ชั้น ราดกับซอสราสเบอร์รี่รสชาติเปรี้ยวกำลังดี ถ้าได้ทานคู่กับชาร้อน ๆ หอม ๆ จะอร่อยขนาดไหน... > < อย่ารอช้า ไปดูวิธีทำกันเลยดีกว่าค่ะ
ส่วนผสม
1. แป้งเค้ก 200 กรัม
2. ผงฟู 1/2 ช้อนชา
3. ไข่ไก่เบอร์ 0 6 ฟอง
4. นมสด 250 กรัม
5. วิปครีม 200 กรัม หรือใช้นมข้นจืดแทนได้คะ
6. น้ำเปล่า 300 กรัม
7. น้ำตาลทราย 100 กรัม
8. น้ำมันพืช 80 กรัม
9. เกลือ 1/2 ช้อนชา
10. กลิ่นวานิลลา 1/2 ช้อนชา
11. เหล้ารัม 1 ช้อนชา
วิธีทำวิปครีม
วิธีทำ
1. นำส่วนผสมมาชั่ง และตวงตามสูตรเสร็จแล้วนำมาผสมกันในโถ หรือใครจะใช้เครื่องปั่น นำมาปั่นเอาก็ได้ ปั่นจนแป้งไม่เป็นเม็ดก็พอ จากนั้นนำส่วนผสมแช่เย็นไว้ 2 ชม. หรือข้ามคืนไปเลยก็ได้ อย่าลืมช้อนฟองออกนะคะ ( ** แป้งเครปที่ผสมแล้ว สามารถเก็บได้ถึง 48 ชม. )
2. พักแป้งเครปไว้ในตู้เย็นเสร็จแล้ว ก็มาทำซอสราสเบอร์รี่สำหรับราดบนเครปเค้กกัน โดยใส่ราสเบอร์รี่ลงในหม้อ ใช้ช้อนยี ๆ ให้เละสักเล็กน้อย ตามด้วยน้ำตาลทราย คลุก ๆ ส่วนผสมให้พอเข้ากันค่ะ
3. จากนั้นนำส่วนผสมข้างต้นไปต้ม จะเห็นว่ามีน้ำออกมาจากลูกราสเบอร์รี่
4. เสร็จแล้วนำเอาไปปั่นให้ละเอียดอีกรอบ แล้วกรองเอากากออกมาอีกทีจะได้ซอสราสเบอร์รี่เนื้อเนียน ๆ รสชาติเปรี้ยวหวานแล้วล่ะค่ะ
5. พอทำซอสราสเบอร์รี่เสร็จแล้ว นำแป้งเครปที่พักไว้มาลุยต่อกันเลย ก่อนอื่นต้องเตรียมอุปกรณ์ก่อนนะคะ เราจะใช้กระทะเทฟล่อน ที่มีหูสองข้าง จะได้สะดวกต่อการร่อนแป้งให้ทั่ว แล้วใช้พายซิลิโคนทนไฟสองอันสำหรับพลิกแป้ง
6. ตักแป้งใส่ถ้วยตวงในปริมาณ ขนาด 1/4 แล้วนำแป้งไปหยอดลงในกระทะ หยอดตรงกลางกระทะนะคะ ร่อนให้ทั่วกระทะ คอยดูแป้งไม่ให้หนา หรือบางมากเกินไป
7. ทิ้งพักไว้สัก 2-3 นาที จากนั้นใช้พายซิลิโคนแซะขอบรอบ ๆ แล้วพลิกแป้ง แต่ระวังอย่าให้แป้งขาดนะคะ เสร็จแล้วนำไปพักที่ตะแกรง แล้วก็ทอดชั้นต่อไปเลย จนครบ 20 แผ่น หรือตามแต่ความชอบ
8. เมื่อทำเจ้าเครปเค้กเสร็จแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนวิธีทำวิปปิ้งครีมกันดีกว่า เตรียมวิปปิ้งครีม 4 ถ้วยตวง และน้ำตาลไอซิ่ง 4-5 ช้อนโต๊ะ ตีรวมกันจนฟู ๆ ขึ้นยอดตามภาพ
9. ต่อไปเป็นขั้นตอนประกอบร่างเจ้าเครปเค้กกันค่ะ นำครีมแปะจุดไว้ที่ฐานก่อนนะคะ กันแป้งเลื่อน จากนั้นก็นำแป้งมากันมาทาครีมที่ละแผ่น วางซ้อนกันสลับไปมาจนครบ แต่อย่าทาครีมหนาเกินไปนะคะมันจะทำให้เลี่ยนได้ พอวางเสร็จจนครบชั้นแล้ว ก็ใช้สปาตูล่าตบ จากด้านบน และเก็บขอบด้านข้างให้เรียบร้อย เมื่อได้เครปเค้กแล้วก็นำไปแช่ตู้เย็นทิ้งไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง
เครปเค้กเมื่อแช่ตู้เย็นแล้ว 2 ชั่วโมง
แท๊แด.... เราก็จะได้เครปเคกเนื้อนุ่ม ราดซอสราสเบอร์รี่กันแล้วล่ะค่ะ เห็นมั้ยค่ะว่า วิธีทำไม่อยากอย่างที่คิดเลย... ว่าแล้วขอไปเตรียมอุปกรณ์ ทำเจ้า "Mille Crepe Cake with Raspberry Sauce" ก่อนดีกว่า อิอิ
ไก่ทอดหมักน้ำปลา เมนูง่าย ๆ แต่อร่อย
เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณบูตะ กะ กิมจิ
ในสภาวะน้ำท่วมเช่นนี้ เชื่อเลยค่ะว่า เวลาที่เพื่อน ๆ จะคิดเมนูทำอาหารในแต่ละที ต้องคิดแล้วคิดอีก เพราะตอนนี้ วัตถุดิบที่จะนำมาทำอาหารหาซื้อยากมาก ๆ แถมยังมีราคาแพงอีกด้วย แต่วันนี้กระปุกดอทคอมนำเมนูของ คุณบูตะ กะ กิมจิ มาเป็นทางเลือกให้กับเพื่อน ๆ ทั้งหลายให้ทำกัน เพราะเมนูนี้นอกจากจะหาวัตถุดิบได้ง่ายแล้ว วิธีทำยังง่ายอีกด้วยล่ะ
สำหรับเมนูนี้มีชื่อว่า "น่องไก่ทอดแสนอร่อย" ขอบอกว่า เพียงแค่เห็นภาพน่องไก่ทอดกรอบสีเหลืองอ่อน ๆ จานนี้แล้ว มันชวนน้ำลายสอจริง ๆ ...เอาเป็นว่าอย่ารอช้า เราไปดูวิธีการทำเมนูน่องไก่ทอดแสนอร่อยกันเลยจ้า...
เตรียมวัตถุดิบ
น่องไก่บน
น้ำปลา
วิธีทำ ไก่ทอดหมักน้ำปลา
นำน่องไก่ทอดมาหมักน้ำปลาในอัตราที่ชอบแล้วทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง
จากนั้นตั้งกะทะ เทน้ำมัน แล้วรอให้น้ำมันร้อน ก่อนที่จะนำไก่ลงไปทอด
พอทอดได้สักพัก ให้หรี่ไฟเป็นไฟกลาง คอยพลิกไก่ไปมาด้วยนะ ระวังไก่จะไหม้เอา อิอิ
พอไก่มีสีเหลืองอ่อน ๆ ก็เป็นอันว่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว นำตักลงจานพร้อมเสริฟได้เลยจ้า
เสร็จแล้ว! เหลืองกรอบน่ารับประทานมาก
No comments:
Post a Comment