Wednesday, September 28, 2011

“ตำลึง”ประโยชน์ล้นเหลือ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 กุมภาพันธ์ 2548 17:54 น.
       ยังจำผักสวนครัวรั้วกินได้ที่มีชื่อว่า “ตำลึง” กันได้ไหมเอ่ย?
       

       ตำลึง ซึ่งมีลักษณะเป็นเถาไม้เลื้อย มีมือจับเกาะยึดต้นไม้อื่นๆ มีดอกสีขาว มีผลเป็นรูปยาวรีคล้ายแตงกวา มีใบเป็นรูปทรงคล้ายหัวใจ เวลาเอาใบและยอดอ่อนๆ มาแกงจืดกับหมูสับแล้วละก็... อร่อยอย่าบอกใคร
      
       ไม่ใช่แค่อร่อยอย่างเดียว แต่ตำลึงยังมีประโยชน์อีกมาก
มี ทั้งสารเบต้าแคโรทีนที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง ลดน้ำตาลในเลือด และหัวใจขาดเลือด มีแคลเซียมช่วยบำรุงกระดูกและฟัน มีฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก ไนอาซิน และวิตามินซี ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดลพบว่า หากใครกินตำลึงบ่อยๆ เส้นใยอาหารในตำลึงก็สามารถช่วยลดอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะ อาหารและได้อีกด้วย
       

       นอกจากนั้นตามตำราแพทย์แผนโบราณ
ตำลึงถือเป็น ยาเย็น ใบช่วยขับพิษ และถอนพิษไข้ แก้อาการแพ้ อักเสบ แมลงมีพิษกัดต่อย แก้แสบคัน โดยใช้ใบตำลึงสดๆ ประมาณ 1 กำมือมาล้างให้สะอาด แล้วตำให้ละเอียด ผสมน้ำเล็กน้อย นำมาทาบริเวณที่มีอาการคันก็จะหายได้
       

       ตำลึงเป็นผักที่พบได้ง่าย แถมปลูกก็ยังง่าย เพียงแค่เอาเมล็ดจากผลที่สุกจัดๆ มาเพาะ หรือเอาเถาแก่ยาวประมาณ 6-8 นิ้ว มาปักลงในดินผสมปุ๋ย หมั่นรดน้ำบ่อยๆ และหาไม้มาทำหลักให้ตำลึงเลื้อยเมื่อเถาเริ่มงอก ปลูกเอาเองไม่ต้องซื้อของใคร แค่นี้ก็ได้ต้นตำลึงเอาไว้กินแกงจืดกันได้ทุกมื้อ และถ้ายิ่งเด็ด ยอดตำลึงก็จะยิ่งขึ้นงาม เพราะฉะนั้นจะลองเปลี่ยนเมนูเป็นแกงเลียง ต้มเลือดหมู หรือจะนึ่งจิ้มน้ำพริกก็กินกันได้ไม่มีเบื่อ

“ตำลึง”ประโยชน์ล้นเหลือ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 กุมภาพันธ์ 2548 17:54 น.
       ยังจำผักสวนครัวรั้วกินได้ที่มีชื่อว่า “ตำลึง” กันได้ไหมเอ่ย?
       

       ตำลึง ซึ่งมีลักษณะเป็นเถาไม้เลื้อย มีมือจับเกาะยึดต้นไม้อื่นๆ มีดอกสีขาว มีผลเป็นรูปยาวรีคล้ายแตงกวา มีใบเป็นรูปทรงคล้ายหัวใจ เวลาเอาใบและยอดอ่อนๆ มาแกงจืดกับหมูสับแล้วละก็... อร่อยอย่าบอกใคร
      
       ไม่ใช่แค่อร่อยอย่างเดียว แต่ตำลึงยังมีประโยชน์อีกมาก
มี ทั้งสารเบต้าแคโรทีนที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง ลดน้ำตาลในเลือด และหัวใจขาดเลือด มีแคลเซียมช่วยบำรุงกระดูกและฟัน มีฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก ไนอาซิน และวิตามินซี ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดลพบว่า หากใครกินตำลึงบ่อยๆ เส้นใยอาหารในตำลึงก็สามารถช่วยลดอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะ อาหารและได้อีกด้วย
       

       นอกจากนั้นตามตำราแพทย์แผนโบราณ
ตำลึงถือเป็น ยาเย็น ใบช่วยขับพิษ และถอนพิษไข้ แก้อาการแพ้ อักเสบ แมลงมีพิษกัดต่อย แก้แสบคัน โดยใช้ใบตำลึงสดๆ ประมาณ 1 กำมือมาล้างให้สะอาด แล้วตำให้ละเอียด ผสมน้ำเล็กน้อย นำมาทาบริเวณที่มีอาการคันก็จะหายได้
       

       ตำลึงเป็นผักที่พบได้ง่าย แถมปลูกก็ยังง่าย เพียงแค่เอาเมล็ดจากผลที่สุกจัดๆ มาเพาะ หรือเอาเถาแก่ยาวประมาณ 6-8 นิ้ว มาปักลงในดินผสมปุ๋ย หมั่นรดน้ำบ่อยๆ และหาไม้มาทำหลักให้ตำลึงเลื้อยเมื่อเถาเริ่มงอก ปลูกเอาเองไม่ต้องซื้อของใคร แค่นี้ก็ได้ต้นตำลึงเอาไว้กินแกงจืดกันได้ทุกมื้อ และถ้ายิ่งเด็ด ยอดตำลึงก็จะยิ่งขึ้นงาม เพราะฉะนั้นจะลองเปลี่ยนเมนูเป็นแกงเลียง ต้มเลือดหมู หรือจะนึ่งจิ้มน้ำพริกก็กินกันได้ไม่มีเบื่อ

"มะระ" ขม แต่ดี

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 31 พฤษภาคม 2548 16:49 น.
       "หวานเป็นลม ขมเป็นยา"
       

       ข้อความนี้เชื่อวาหลายๆคนคงคุ้นกันดี เพราะขึ้นชื่อว่าของขมๆ แล้ว ใครก็คงไม่อยากกิน แต่ก็มีผักอยู่ชนิดหนึ่งที่ขมแสนขม แต่เราก็ยังนำมาทำอาหารได้ แถมอร่อยเสียด้วย นั่นก็คือ "มะระ" นั่นเอง ที่เมืองไทยเรามีมะระให้เลือกกินถึงสองชนิด คือมะระจีน เป็นมะระลูกใหญ่ที่นิยมนำมาทำแกงจืดมะระหมูสับ หรือกินกับกุ้งแช่น้ำปลา และมะระขี้นกลูกเล็กๆ สีเขียวเข้ม รสขมจัด นิยมนำมาลวกจิ้มน้ำพริก
      
       รสขมๆ ของมะระนั้น มีประโยชน์ตรงที่ช่วยทำให้เจริญอาหาร เพราะรสขมจะช่วยกระตุ้นให้น้ำย่อยออกมามากกว่าปกติ ทำให้เอร็ดอร่อยกับอาหารได้มากขึ้น และให้แร่ธาตุสำคัญอย่างแคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินซี ไนอาซิน และเบต้าแคโรทีน แถมเป็นยาระบายอ่อนๆ และยังช่วยลดน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ที่เป็นเบาหวานได้ รวมทั้งเชื่อว่ามะระช่วยบำรุงน้ำดี แก้ตับม้ามอักเสบ ขับพยาธิ แก้อักเสบจากพิษต่างๆ ที่สำคัญมะระขี้นกนั้น
      
       นอกจากผลแล้ว มะระก็ยังมีประโยชน์ทั้งใบ เมล็ดและราก ใบมีรสขม คั้นเอาแต่น้ำดื่มแก้ท่อน้ำดีอักเสบ ช่วยเจริญอาหาร แต่ถ้าใช้มากอาจทำให้อาเจียนได้ แก้ไข้ตัวร้อน ดับพิษร้อน แก้อักเสบฟกช้ำ ส่วนเมล็ดรสขมมีฤทธิ์ขับพยาธิตัวกลม รากต้มน้ำดื่ม รักษาโรคริดสีดวงทวารได้
      
       ประโยชน์เยอะขนาดนี้ แม้ขมก็ต้องยอมกิน แต่ "108 เคล็ดกิน" มีเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ สำหรับคนที่ไม่อยากให้มะระขมจนเกินไป ลองนำมะระไปคลุกกับเกลือป่นก่อนสักครู่ก่อนปรุง ต้มมะระแบบไม่ต้องปิดฝาหม้อ หรือต้มแล้วจะเทน้ำทิ้งความขมไปก่อนสักหนึ่งครั้งแล้วต้มใหม่อีกรอบ ก็จะช่วยลดความขมลงได้

อร่อยหน้าร้อนแบบปลอดภัยกับ “ทุเรียน”

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 เมษายน 2548 17:51 น.
       ช่วงหน้าร้อนแบบนี้แหละที่เป็นเวลาทองของผู้ที่ชื่นชอบผลไม้ที่มีหนามแหลมอย่าง “ทุเรียน” ที่ได้รับคำยกย่องว่าเป็นถึงราชาผลไม้เลยทีเดียว “108 เคล็ดกิน” เองก็เป็นหนึ่งในผู้รักทุเรียนเช่นกัน จึงรู้สึกดีใจที่มองไปทางไหนก็จะเห็นเหล่าทุเรียนวางสลอนอยู่ตามแผงให้บรรดา คนรักทุเรียนได้เลือกซื้อกัน
      
       หลายๆ คนก็รู้ว่าทุเรียนนั้นเป็นผลไม้ที่เต็มไปด้วยคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาล แถมยังให้พลังงานสูงกว่าผลไม้ทั่วๆ ไปถึง 3-4 เท่า แต่ก็อดใจไม่ค่อยไหวทุกทีเวลาที่ได้กิน มักจะต้องมีอันที่สอง สาม สี่ ตามมาเรื่อยๆ แบบหยุดไม่ได้ แต่ดูเหมือนทุเรียนจะมีคนรักกับคนชังเท่าๆ กัน ซึ่งคนที่ไม่ชอบนั้นบางคนถึงกับกับทนกลิ่นของทุเรียนไม่ได้เลย
      
       
สำหรับคนที่ชอบกินทุเรียนมากๆ ก็ต้องระวังให้ดี เพราะที่ผ่านมาก็เคยมีข่าวแล้วว่ามีคนกินทุเรียนมากเกินไปจนตาย เนื่องจากว่าทุเรียนนั้นให้พลังงานมาก เมื่อกินเข้าไปแล้วจะเกิดความร้อนขึ้นในร่างกายสูงกว่าปกติ สังเกตได้จากอาการร้อนในที่มักเกิดขึ้นหลังการกินทุเรียน สำหรับคนที่มีโรคประจำตัวอย่าง โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ความร้อนที่เกิดจากการกินทุเรียนมากๆ นั้นก็จะทำให้โรคกำเริบได้ ถึงกับเสียชีวิตไปเลยก็มี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกินทุเรียนกับเหล้าหรือเบียร์นั้นถือเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะสารซัลเฟอร์ในทุเรียนจะทำปฏิกิริยากับแอลกอฮอล์ ก่อให้เกิดพิษแก่ร่างกาย เป็นอันตรายถึงชีวิตได้
      
       
แต่ทุเรียนนั้นนอกจากจะกินอร่อยแล้ว ส่วนอื่นๆ ของมันก็ยังมีประโยชน์ทางยาอีกมาก เช่นใช้ใบต้มน้ำอาบแก้ไข้ แก้โรคดีซ่านได้ รากต้นทุเรียนก็ยังนำมาต้มดื่มแก้ไข้แก้ท้องร่วงได้ด้วย รวมทั้งเนื้อที่แสนจะอร่อย ก็ยังช่วยแก้โรคผิวหนังและขับพยาธิได้ เปลือกทุเรียนก็เอามาจุดไฟสุมไล่ยุงก็ได้ ฝากอีกนิดหนึ่งสำหรับคนที่ไม่อยากเป็นร้อนใน โบราณเขาว่าให้กินมังคุดซึ่งเป็นผลไม้ที่มีรสเย็นตามเข้าไป แค่นี้ก็กินทุเรียนได้อย่างมีความสุขแล้ว

หลากคุณค่าจากแมงลัก…ผักสวนครัว

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 21 กุมภาพันธ์ 2548 17:20 น.

       "แมงลัก" ผักสวนครัวชื่อแปลก ที่มีหน้าตาคล้ายกับกะเพราและโหระพา เป็นผักที่แม่บ้านชาวไทยรู้จักกันดี เนื่องจากนำมาเป็นส่วนประกอบของอาหารได้หลากหลาย เช่น เอาใบมาใส่ในแกงเลียง หรือกินสดๆ คู่กับขนมจีนก็อร่อยเด็ด
      
       ใบแมงลักนี้มีประโยชน์มาก
ทั้งช่วยขับเหงื่อ ขับลมในลำไส้ แก้วิงเวียน แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ หรือใครจะนำใบแมงลักมาต้มกับน้ำ ดื่มเป็นประจำก็จะช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับลำไส้หรือโรคทางเดินอาหารได้ด้วย และใบแมงลักยังให้สารเบต้าแคโรทีนและแคลเซียม ซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเช่นกัน
      
       แต่สำหรับสาวๆ หลายคนอาจจะรู้จักสรรพคุณของเม็ดแมงลักมากกว่าใบแมงลัก เพราะเม็ดแมงลักนั้น มักจะถูกนำไปทำเป็นอาหารสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน
เนื่อง จากเม็ดแมงลักไม่ก่อให้เกิดพลังงาน และยังมีสรรพคุณเป็นยาระบาย ช่วยให้ขับถ่ายสะดวก แถมยังช่วยลดไขมันในเส้นเลือด และช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจอีกด้วย วิธีกินก็ให้นำเมล็ดแมงลักประมาณ 2 ช้อนชา ผสมน้ำร้อน 1 แก้ว หรือจะชงกับน้ำผึ้งหรือน้ำสมุนไพรต่างๆ ก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องรอให้เม็ดแมงลักพองตัวเต็มที่เสียก่อนจึงค่อยกิน มิฉะนั้นละก็ แทนที่จะช่วยระบาย ก็กลับจะทำให้ท้องผูกแทน แล้วจะหาว่า “108 เคล็ดกิน” ไม่เตือน

"มะระ" ขม แต่ดี

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 31 พฤษภาคม 2548 16:49 น.
       "หวานเป็นลม ขมเป็นยา"
       

       ข้อความนี้เชื่อวาหลายๆคนคงคุ้นกันดี เพราะขึ้นชื่อว่าของขมๆ แล้ว ใครก็คงไม่อยากกิน แต่ก็มีผักอยู่ชนิดหนึ่งที่ขมแสนขม แต่เราก็ยังนำมาทำอาหารได้ แถมอร่อยเสียด้วย นั่นก็คือ "มะระ" นั่นเอง ที่เมืองไทยเรามีมะระให้เลือกกินถึงสองชนิด คือมะระจีน เป็นมะระลูกใหญ่ที่นิยมนำมาทำแกงจืดมะระหมูสับ หรือกินกับกุ้งแช่น้ำปลา และมะระขี้นกลูกเล็กๆ สีเขียวเข้ม รสขมจัด นิยมนำมาลวกจิ้มน้ำพริก
      
       รสขมๆ ของมะระนั้น มีประโยชน์ตรงที่ช่วยทำให้เจริญอาหาร เพราะรสขมจะช่วยกระตุ้นให้น้ำย่อยออกมามากกว่าปกติ ทำให้เอร็ดอร่อยกับอาหารได้มากขึ้น และให้แร่ธาตุสำคัญอย่างแคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินซี ไนอาซิน และเบต้าแคโรทีน แถมเป็นยาระบายอ่อนๆ และยังช่วยลดน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ที่เป็นเบาหวานได้ รวมทั้งเชื่อว่ามะระช่วยบำรุงน้ำดี แก้ตับม้ามอักเสบ ขับพยาธิ แก้อักเสบจากพิษต่างๆ ที่สำคัญมะระขี้นกนั้น
      
       นอกจากผลแล้ว มะระก็ยังมีประโยชน์ทั้งใบ เมล็ดและราก ใบมีรสขม คั้นเอาแต่น้ำดื่มแก้ท่อน้ำดีอักเสบ ช่วยเจริญอาหาร แต่ถ้าใช้มากอาจทำให้อาเจียนได้ แก้ไข้ตัวร้อน ดับพิษร้อน แก้อักเสบฟกช้ำ ส่วนเมล็ดรสขมมีฤทธิ์ขับพยาธิตัวกลม รากต้มน้ำดื่ม รักษาโรคริดสีดวงทวารได้
      
       ประโยชน์เยอะขนาดนี้ แม้ขมก็ต้องยอมกิน แต่ "108 เคล็ดกิน" มีเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ สำหรับคนที่ไม่อยากให้มะระขมจนเกินไป ลองนำมะระไปคลุกกับเกลือป่นก่อนสักครู่ก่อนปรุง ต้มมะระแบบไม่ต้องปิดฝาหม้อ หรือต้มแล้วจะเทน้ำทิ้งความขมไปก่อนสักหนึ่งครั้งแล้วต้มใหม่อีกรอบ ก็จะช่วยลดความขมลงได้

อร่อยหน้าร้อนแบบปลอดภัยกับ “ทุเรียน”

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 เมษายน 2548 17:51 น.
       ช่วงหน้าร้อนแบบนี้แหละที่เป็นเวลาทองของผู้ที่ชื่นชอบผลไม้ที่มีหนามแหลมอย่าง “ทุเรียน” ที่ได้รับคำยกย่องว่าเป็นถึงราชาผลไม้เลยทีเดียว “108 เคล็ดกิน” เองก็เป็นหนึ่งในผู้รักทุเรียนเช่นกัน จึงรู้สึกดีใจที่มองไปทางไหนก็จะเห็นเหล่าทุเรียนวางสลอนอยู่ตามแผงให้บรรดา คนรักทุเรียนได้เลือกซื้อกัน
      
       หลายๆ คนก็รู้ว่าทุเรียนนั้นเป็นผลไม้ที่เต็มไปด้วยคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาล แถมยังให้พลังงานสูงกว่าผลไม้ทั่วๆ ไปถึง 3-4 เท่า แต่ก็อดใจไม่ค่อยไหวทุกทีเวลาที่ได้กิน มักจะต้องมีอันที่สอง สาม สี่ ตามมาเรื่อยๆ แบบหยุดไม่ได้ แต่ดูเหมือนทุเรียนจะมีคนรักกับคนชังเท่าๆ กัน ซึ่งคนที่ไม่ชอบนั้นบางคนถึงกับกับทนกลิ่นของทุเรียนไม่ได้เลย
      
       
สำหรับคนที่ชอบกินทุเรียนมากๆ ก็ต้องระวังให้ดี เพราะที่ผ่านมาก็เคยมีข่าวแล้วว่ามีคนกินทุเรียนมากเกินไปจนตาย เนื่องจากว่าทุเรียนนั้นให้พลังงานมาก เมื่อกินเข้าไปแล้วจะเกิดความร้อนขึ้นในร่างกายสูงกว่าปกติ สังเกตได้จากอาการร้อนในที่มักเกิดขึ้นหลังการกินทุเรียน สำหรับคนที่มีโรคประจำตัวอย่าง โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ความร้อนที่เกิดจากการกินทุเรียนมากๆ นั้นก็จะทำให้โรคกำเริบได้ ถึงกับเสียชีวิตไปเลยก็มี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกินทุเรียนกับเหล้าหรือเบียร์นั้นถือเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะสารซัลเฟอร์ในทุเรียนจะทำปฏิกิริยากับแอลกอฮอล์ ก่อให้เกิดพิษแก่ร่างกาย เป็นอันตรายถึงชีวิตได้
      
       
แต่ทุเรียนนั้นนอกจากจะกินอร่อยแล้ว ส่วนอื่นๆ ของมันก็ยังมีประโยชน์ทางยาอีกมาก เช่นใช้ใบต้มน้ำอาบแก้ไข้ แก้โรคดีซ่านได้ รากต้นทุเรียนก็ยังนำมาต้มดื่มแก้ไข้แก้ท้องร่วงได้ด้วย รวมทั้งเนื้อที่แสนจะอร่อย ก็ยังช่วยแก้โรคผิวหนังและขับพยาธิได้ เปลือกทุเรียนก็เอามาจุดไฟสุมไล่ยุงก็ได้ ฝากอีกนิดหนึ่งสำหรับคนที่ไม่อยากเป็นร้อนใน โบราณเขาว่าให้กินมังคุดซึ่งเป็นผลไม้ที่มีรสเย็นตามเข้าไป แค่นี้ก็กินทุเรียนได้อย่างมีความสุขแล้ว

หลากคุณค่าจากแมงลัก…ผักสวนครัว

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 21 กุมภาพันธ์ 2548 17:20 น.

       "แมงลัก" ผักสวนครัวชื่อแปลก ที่มีหน้าตาคล้ายกับกะเพราและโหระพา เป็นผักที่แม่บ้านชาวไทยรู้จักกันดี เนื่องจากนำมาเป็นส่วนประกอบของอาหารได้หลากหลาย เช่น เอาใบมาใส่ในแกงเลียง หรือกินสดๆ คู่กับขนมจีนก็อร่อยเด็ด
      
       ใบแมงลักนี้มีประโยชน์มาก
ทั้งช่วยขับเหงื่อ ขับลมในลำไส้ แก้วิงเวียน แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ หรือใครจะนำใบแมงลักมาต้มกับน้ำ ดื่มเป็นประจำก็จะช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับลำไส้หรือโรคทางเดินอาหารได้ด้วย และใบแมงลักยังให้สารเบต้าแคโรทีนและแคลเซียม ซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเช่นกัน
      
       แต่สำหรับสาวๆ หลายคนอาจจะรู้จักสรรพคุณของเม็ดแมงลักมากกว่าใบแมงลัก เพราะเม็ดแมงลักนั้น มักจะถูกนำไปทำเป็นอาหารสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน
เนื่อง จากเม็ดแมงลักไม่ก่อให้เกิดพลังงาน และยังมีสรรพคุณเป็นยาระบาย ช่วยให้ขับถ่ายสะดวก แถมยังช่วยลดไขมันในเส้นเลือด และช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจอีกด้วย วิธีกินก็ให้นำเมล็ดแมงลักประมาณ 2 ช้อนชา ผสมน้ำร้อน 1 แก้ว หรือจะชงกับน้ำผึ้งหรือน้ำสมุนไพรต่างๆ ก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องรอให้เม็ดแมงลักพองตัวเต็มที่เสียก่อนจึงค่อยกิน มิฉะนั้นละก็ แทนที่จะช่วยระบาย ก็กลับจะทำให้ท้องผูกแทน แล้วจะหาว่า “108 เคล็ดกิน” ไม่เตือน

หญ้าหนวดแมว...หญ้ารักษาโรค

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 สิงหาคม 2548 16:58 น.
       ใครที่วันๆ ดื่มน้ำแค่นิดเดียว แถมยังชอบกลั้นปัสสาวะบ่อยๆ รับรองได้ว่าไม่ช้าไม่นานโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบจะถามหา และขืนทำบ่อยๆ เข้าอาการก็จะหนักจนกลายเป็นโรคนิ่วได้
      
       แต่รู้ไหมว่ามีสมุนไพรไทยอยู่ตัวหนึ่ง ที่มีสรรพคุณช่วยรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้ นั่นก็คือ “หญ้าหนวดแมว” พืชล้มลุกที่หน้าตาคล้ายกับกะเพราหรือโหระพา มีดอกสีขาวหรือสีม่วง และเกสรตัวผู้จะมีลักษณะเป็นเส้นยาวออกมาคล้ายหนวดแมว จนเป็นที่มาของชื่อมันนั่นเอง
      
       ในหญ้าหนวดแมวนั้น จะมีธาตุโพแทสเซียมมาก ซึ่งจะช่วยเพิ่มการขับกรดยูริค หรือช่วยขับปัสสาวะ และช่วยให้เกลือยูเรตไม่จับตัวกันเป็นก้อนนิ่ว รวมทั้งหญ้าหนวดแมวยังช่วยป้องกันไม่ให้แคลเซียมตกค้างในไต ลดการเกิดนิ่วได้ แถมยังช่วยขยายท่อไตทำให้อาการปวดลดลง นอกจากนั้นการที่เราปัสสาวะถี่ขึ้น ก็จะทำให้นิ่วก้อนเล็กๆเคลื่อนลงมาได้ ส่วนวิธีบริโภคหญ้าหนวดแมวก็คือ นำใบและดอกที่ตากแห้งประมาณหยิบมือหนึ่งมาต้มกับน้ำ 1 ขวด ต้มน้ำให้เดือดแล้วใส่หญ้าหนวดแมวลงไป ปิดฝาหม้อไว้สัก 20 นาทีเป็นอันใช้ได้
      
       มีข้อควรระวังอย่างหนึ่งคือ ในหญ้าหนวดแมวนั้นมีโพแทสเซียมมาก จึงไม่ควรให้ผู้ที่เป็นโรคหัวใจดื่ม เพราะจะทำให้กระตุ้นหัวใจ เป็นอันตรายได้

ขนมไทย 9 มงคล…ทั้งอร่อยและความหมายดี

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 กรกฎาคม 2548 16:56 น.
       ขนมไทยของเรานั้น นอกจากจะหอมหวาน กินได้อร่อยแล้ว ก็ยังมีความหมายที่เป็นมงคลอีกด้วย วันนี้ “108 เคล็ดกิน” จึงได้นำเอาขนมไทยที่มีชื่อเป็นมงคล 9 อย่าง และความหมายดีๆ ของแต่ละอย่างมาเล่าสู่กันฟัง
      
       เริ่มจากขนมไทยที่คุ้นเคยกันดีอย่าง ทองหยิบ ทองหยอด และฝอยทอง ซึ่งคำว่าทองในชื่อก็เป็นความหมายว่าให้มีทองไหลมาเทมาเหมือนชื่อ โดยเฉพาะฝอยทองที่มักจะใช้ในงานมงคลสมรสนั้น มีเคล็ดว่าห้ามตัด แต่ต้องปล่อยให้เป็นเส้นยาวๆ เพื่อที่ชีวิตสมรสจะได้ยืนยาวต่อไป
      
       ส่วนเม็ดขนุน ก็มีชื่อเป็นสิริมงคลที่หมายความว่าจะช่วยให้มีคนสนับสนุน หนุนหลังให้กิจการงานต่างๆ สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี และขนมชั้นก็เหมาะสำหรับคำอวยพรที่ว่า ขอให้ได้เลื่อนขั้นเลื่อนชั้น เลื่อนตำแหน่ง และถ้าจะให้ดี ขนมชั้นนี้ก็ต้องมี 9 ชั้น จะได้ก้าวหน้า เลื่อนขั้นเร็วๆ
      
       ขนมทองเอก นอกจากชื่อจะเป็นทองแล้ว ก็ยังมีทองคำเปลวติดอยู่บนขนมด้วย ซึ่งคำว่าเอกนั้นแปลว่าที่หนึ่ง การให้ขนมทองเอกนั้นก็เหมือนว่าอวยพรให้เป็นที่หนึ่ง และขนมจ่ามงกุฎ ซึ่งหมายถึงการมีเกียรติสูงสุด เป็นเจ้าคนนายคน ขนมทั้งสองอย่างนี้ก็จะใช้เป็นการแสดงความยินดีที่ได้เลื่อนตำแหน่ง
      
       และขนมสองอย่างสุดท้ายก็คือ ขนมถ้วยฟู ซึ่งหมายถึงการอวยพรให้มีความเจริญรุ่งเรืองเฟื่องฟู และขนมเสน่ห์จันทน์ ซึ่งใช้ผลจันทน์ จากต้นจันทน์มาเป็นส่วนผสมให้มีกลิ่นหอม และเชื่อว่าจะทำให้มีเสน่ห์ มีคนรักใคร่ มักจะใช้ในงานมงคลสมรส
      
       ทั้งอร่อยทั้งมีความหมายดีๆ แบบนี้ จะเอาไว้กินเองหรือมอบให้เป็นของขวัญในโอกาสต่างๆ ก็ไม่เลวเหมือนกันนะ

หญ้าหนวดแมว...หญ้ารักษาโรค

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 สิงหาคม 2548 16:58 น.
       ใครที่วันๆ ดื่มน้ำแค่นิดเดียว แถมยังชอบกลั้นปัสสาวะบ่อยๆ รับรองได้ว่าไม่ช้าไม่นานโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบจะถามหา และขืนทำบ่อยๆ เข้าอาการก็จะหนักจนกลายเป็นโรคนิ่วได้
      
       แต่รู้ไหมว่ามีสมุนไพรไทยอยู่ตัวหนึ่ง ที่มีสรรพคุณช่วยรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้ นั่นก็คือ “หญ้าหนวดแมว” พืชล้มลุกที่หน้าตาคล้ายกับกะเพราหรือโหระพา มีดอกสีขาวหรือสีม่วง และเกสรตัวผู้จะมีลักษณะเป็นเส้นยาวออกมาคล้ายหนวดแมว จนเป็นที่มาของชื่อมันนั่นเอง
      
       ในหญ้าหนวดแมวนั้น จะมีธาตุโพแทสเซียมมาก ซึ่งจะช่วยเพิ่มการขับกรดยูริค หรือช่วยขับปัสสาวะ และช่วยให้เกลือยูเรตไม่จับตัวกันเป็นก้อนนิ่ว รวมทั้งหญ้าหนวดแมวยังช่วยป้องกันไม่ให้แคลเซียมตกค้างในไต ลดการเกิดนิ่วได้ แถมยังช่วยขยายท่อไตทำให้อาการปวดลดลง นอกจากนั้นการที่เราปัสสาวะถี่ขึ้น ก็จะทำให้นิ่วก้อนเล็กๆเคลื่อนลงมาได้ ส่วนวิธีบริโภคหญ้าหนวดแมวก็คือ นำใบและดอกที่ตากแห้งประมาณหยิบมือหนึ่งมาต้มกับน้ำ 1 ขวด ต้มน้ำให้เดือดแล้วใส่หญ้าหนวดแมวลงไป ปิดฝาหม้อไว้สัก 20 นาทีเป็นอันใช้ได้
      
       มีข้อควรระวังอย่างหนึ่งคือ ในหญ้าหนวดแมวนั้นมีโพแทสเซียมมาก จึงไม่ควรให้ผู้ที่เป็นโรคหัวใจดื่ม เพราะจะทำให้กระตุ้นหัวใจ เป็นอันตรายได้

ขนมไทย 9 มงคล…ทั้งอร่อยและความหมายดี

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 กรกฎาคม 2548 16:56 น.
       ขนมไทยของเรานั้น นอกจากจะหอมหวาน กินได้อร่อยแล้ว ก็ยังมีความหมายที่เป็นมงคลอีกด้วย วันนี้ “108 เคล็ดกิน” จึงได้นำเอาขนมไทยที่มีชื่อเป็นมงคล 9 อย่าง และความหมายดีๆ ของแต่ละอย่างมาเล่าสู่กันฟัง
      
       เริ่มจากขนมไทยที่คุ้นเคยกันดีอย่าง ทองหยิบ ทองหยอด และฝอยทอง ซึ่งคำว่าทองในชื่อก็เป็นความหมายว่าให้มีทองไหลมาเทมาเหมือนชื่อ โดยเฉพาะฝอยทองที่มักจะใช้ในงานมงคลสมรสนั้น มีเคล็ดว่าห้ามตัด แต่ต้องปล่อยให้เป็นเส้นยาวๆ เพื่อที่ชีวิตสมรสจะได้ยืนยาวต่อไป
      
       ส่วนเม็ดขนุน ก็มีชื่อเป็นสิริมงคลที่หมายความว่าจะช่วยให้มีคนสนับสนุน หนุนหลังให้กิจการงานต่างๆ สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี และขนมชั้นก็เหมาะสำหรับคำอวยพรที่ว่า ขอให้ได้เลื่อนขั้นเลื่อนชั้น เลื่อนตำแหน่ง และถ้าจะให้ดี ขนมชั้นนี้ก็ต้องมี 9 ชั้น จะได้ก้าวหน้า เลื่อนขั้นเร็วๆ
      
       ขนมทองเอก นอกจากชื่อจะเป็นทองแล้ว ก็ยังมีทองคำเปลวติดอยู่บนขนมด้วย ซึ่งคำว่าเอกนั้นแปลว่าที่หนึ่ง การให้ขนมทองเอกนั้นก็เหมือนว่าอวยพรให้เป็นที่หนึ่ง และขนมจ่ามงกุฎ ซึ่งหมายถึงการมีเกียรติสูงสุด เป็นเจ้าคนนายคน ขนมทั้งสองอย่างนี้ก็จะใช้เป็นการแสดงความยินดีที่ได้เลื่อนตำแหน่ง
      
       และขนมสองอย่างสุดท้ายก็คือ ขนมถ้วยฟู ซึ่งหมายถึงการอวยพรให้มีความเจริญรุ่งเรืองเฟื่องฟู และขนมเสน่ห์จันทน์ ซึ่งใช้ผลจันทน์ จากต้นจันทน์มาเป็นส่วนผสมให้มีกลิ่นหอม และเชื่อว่าจะทำให้มีเสน่ห์ มีคนรักใคร่ มักจะใช้ในงานมงคลสมรส
      
       ทั้งอร่อยทั้งมีความหมายดีๆ แบบนี้ จะเอาไว้กินเองหรือมอบให้เป็นของขวัญในโอกาสต่างๆ ก็ไม่เลวเหมือนกันนะ

จะทำยังไง...เมื่อคนผอมอยากอ้วน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 กันยายน 2548 17:00 น.
       เดี๋ยวนี้เวลามองไปทางไหนก็เห็นแต่คนอ้วนอยากผอม ดูโฆษณาทางทีวีทีไรก็เห็นมีแต่ผลิตภัณฑ์ขายความผอม แต่ "108 เคล็ดกิน" ก็รู้นะว่ายังมีคนผอมอีกหลายคนที่อยากจะเพิ่มน้ำหนักให้ตัวเองดูมีเนื้อมีหนังขึ้นมาบ้าง แต่กินยังไง้...ยังไงน้ำหนักก็ไม่ขึ้นเสียที
       

       ผู้ที่มีปัญหาเช่นนี้อาจเพราะว่าเป็นคนที่ใช้พลังงานมาก แต่พักผ่อนน้อย กินน้อย แถมเลือกกินอีกต่างหาก หรือสำหรับบางคนอาจเกิดจากปัญหาทางร่างกาย เช่นต่อมธัยรอยด์ทำงานมากเกินไป ทำให้อาหารถูกเผาผลาญมาก หรือลำไส้ดูดซึมอาหารไม่ดี เป็นโรคกระเพาะ โรคลำไส้ เป็นต้น อันนี้ก็ต้องปรึกษาแพทย์กันไปตามอาการ
      
       
แต่ถ้าอยากอ้วนขึ้นด้วยการกินละก็ กองโภชนาการ กรมอนามัย เขาแนะนำมาว่า จะต้องกินอาหารให้ได้แคลอรี่วันละ 3,000-3,500 โดยกินอาหารที่ให้พลังงานสูงอย่าง เนย ไอศกรีม ขนมหวาน ผลไม้ที่ให้พลังงานสูงๆ และต้องกินอาหารจำพวกโปรตีน เช่น นม ไข่ ถั่ว เนื้อสัตว์ให้มากกว่าปกติ อย่ากินอาหารที่มันจัด หรือหวานจัด เพราะจะทำให้กินได้น้อยลง แล้วถ้าใครยังเบื่ออาหารอยู่อีกละก็ ต้องออกกำลังกายให้มากขึ้น และพักผ่อนให้เพียงพอ ทำให้ได้อย่างนี้แล้วน้ำหนักก็จะเพิ่มขึ้นได้

สอนลูกกินผักให้เป็น

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 6 กันยายน 2548 15:41 น.


       ชอบผักๆๆ กินผักๆๆ... บางคนกินผักได้อย่างเอร็ดอร่อย แต่บางคนแค่เห็นก็ถึงกับส่ายหน้า ทำยังไงๆ ก็ไม่ยอมกินและให้เหตุผลว่า...ไม่ชอบกินผัก "108 เคล็ดกิน" ว่า เรื่องแบบนี้เป็นกันมาตั้งแต่เด็ก เพราะฉะนั้นใครที่ไม่อยากให้ลูกเป็นคนเลือกกินละก็ ต้องหัดให้ลูกกินผักไว้ตั้งแต่เด็กๆ เลยเป็นดี
      
       เด็กจะสามารถเริ่มกินผักได้ตั้งแต่อายุ 5 เดือนขึ้นไป ในช่วงนี้ต้องเริ่มให้เด็กกินผักนิ่มๆ อย่างใบตำลึง ผักกาดขาว ฟักทอง เป็นต้น ส่วนผักที่มีกลิ่นฉุนอย่างผักชี ต้นหอมนั้น สามารถให้ลูกกินได้ตั้งแต่ช่วงอายุ 8-9 เดือน เพราะในช่วงนี้เด็กจะยังไม่รู้จักกลิ่นและรส เป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุดที่จะหัดให้กินผัก
      
       การทำรูปลักษณ์ของผักให้น่ากินก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้เด็ก ๆ อยากกินผักมากขึ้น เช่น ผักที่แกะสลักเป็นรูปต่างๆ หรือผักชุบแป้งทอด แต่ที่สำคัญที่สุด คือ พ่อและแม่จะต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ลูกๆ ด้วยการกินผักให้ลูกเห็น หรือกล่าวชมเชยเวลาที่ลูกกินผักได้เอง และอย่าใช้วิธีบังคับให้กินให้ได้ เพราะเด็กจะเกิดความรู้สึกต่อต้าน
      
       อย่าลืมว่าผักเป็นอาหารชนิดหนึ่งที่สำคัญมากๆ และเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะฉะนั้นหากใครกำลังมีลูกเล็กๆ ก็มาหัดให้ลูกกินผักให้เป็นกันดีกว่า จะได้มีสุขภาพแข็งแรง แถมยังดูเป็นคนกินง่ายไม่เรื่องมากอีกด้วย

จะทำยังไง...เมื่อคนผอมอยากอ้วน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 กันยายน 2548 17:00 น.
       เดี๋ยวนี้เวลามองไปทางไหนก็เห็นแต่คนอ้วนอยากผอม ดูโฆษณาทางทีวีทีไรก็เห็นมีแต่ผลิตภัณฑ์ขายความผอม แต่ "108 เคล็ดกิน" ก็รู้นะว่ายังมีคนผอมอีกหลายคนที่อยากจะเพิ่มน้ำหนักให้ตัวเองดูมีเนื้อมีหนังขึ้นมาบ้าง แต่กินยังไง้...ยังไงน้ำหนักก็ไม่ขึ้นเสียที
       

       ผู้ที่มีปัญหาเช่นนี้อาจเพราะว่าเป็นคนที่ใช้พลังงานมาก แต่พักผ่อนน้อย กินน้อย แถมเลือกกินอีกต่างหาก หรือสำหรับบางคนอาจเกิดจากปัญหาทางร่างกาย เช่นต่อมธัยรอยด์ทำงานมากเกินไป ทำให้อาหารถูกเผาผลาญมาก หรือลำไส้ดูดซึมอาหารไม่ดี เป็นโรคกระเพาะ โรคลำไส้ เป็นต้น อันนี้ก็ต้องปรึกษาแพทย์กันไปตามอาการ
      
       
แต่ถ้าอยากอ้วนขึ้นด้วยการกินละก็ กองโภชนาการ กรมอนามัย เขาแนะนำมาว่า จะต้องกินอาหารให้ได้แคลอรี่วันละ 3,000-3,500 โดยกินอาหารที่ให้พลังงานสูงอย่าง เนย ไอศกรีม ขนมหวาน ผลไม้ที่ให้พลังงานสูงๆ และต้องกินอาหารจำพวกโปรตีน เช่น นม ไข่ ถั่ว เนื้อสัตว์ให้มากกว่าปกติ อย่ากินอาหารที่มันจัด หรือหวานจัด เพราะจะทำให้กินได้น้อยลง แล้วถ้าใครยังเบื่ออาหารอยู่อีกละก็ ต้องออกกำลังกายให้มากขึ้น และพักผ่อนให้เพียงพอ ทำให้ได้อย่างนี้แล้วน้ำหนักก็จะเพิ่มขึ้นได้

สอนลูกกินผักให้เป็น

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 6 กันยายน 2548 15:41 น.


       ชอบผักๆๆ กินผักๆๆ... บางคนกินผักได้อย่างเอร็ดอร่อย แต่บางคนแค่เห็นก็ถึงกับส่ายหน้า ทำยังไงๆ ก็ไม่ยอมกินและให้เหตุผลว่า...ไม่ชอบกินผัก "108 เคล็ดกิน" ว่า เรื่องแบบนี้เป็นกันมาตั้งแต่เด็ก เพราะฉะนั้นใครที่ไม่อยากให้ลูกเป็นคนเลือกกินละก็ ต้องหัดให้ลูกกินผักไว้ตั้งแต่เด็กๆ เลยเป็นดี
      
       เด็กจะสามารถเริ่มกินผักได้ตั้งแต่อายุ 5 เดือนขึ้นไป ในช่วงนี้ต้องเริ่มให้เด็กกินผักนิ่มๆ อย่างใบตำลึง ผักกาดขาว ฟักทอง เป็นต้น ส่วนผักที่มีกลิ่นฉุนอย่างผักชี ต้นหอมนั้น สามารถให้ลูกกินได้ตั้งแต่ช่วงอายุ 8-9 เดือน เพราะในช่วงนี้เด็กจะยังไม่รู้จักกลิ่นและรส เป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุดที่จะหัดให้กินผัก
      
       การทำรูปลักษณ์ของผักให้น่ากินก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้เด็ก ๆ อยากกินผักมากขึ้น เช่น ผักที่แกะสลักเป็นรูปต่างๆ หรือผักชุบแป้งทอด แต่ที่สำคัญที่สุด คือ พ่อและแม่จะต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ลูกๆ ด้วยการกินผักให้ลูกเห็น หรือกล่าวชมเชยเวลาที่ลูกกินผักได้เอง และอย่าใช้วิธีบังคับให้กินให้ได้ เพราะเด็กจะเกิดความรู้สึกต่อต้าน
      
       อย่าลืมว่าผักเป็นอาหารชนิดหนึ่งที่สำคัญมากๆ และเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะฉะนั้นหากใครกำลังมีลูกเล็กๆ ก็มาหัดให้ลูกกินผักให้เป็นกันดีกว่า จะได้มีสุขภาพแข็งแรง แถมยังดูเป็นคนกินง่ายไม่เรื่องมากอีกด้วย

กินเจมื้อไหนก็ไม่ขาดโปรตีน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 ตุลาคม 2548 14:46 น.
เทศกาลกินเจมาถึงแล้ว หลายๆ คนก็เริ่มกินเจกันไปเป็นที่เรียบร้อย แต่บางคนยังสองจิตสองใจ กลัวว่าร่างกายจะได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ โดยเฉพาะสารอาหารโปรตีน เพราะการกินเจนั้นจะห้ามกินเนื้อสัตว์
      
       แต่จริงๆ แล้ว โปรตีนไม่ได้มีอยู่ในเนื้อสัตว์อย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังพบในพืชด้วย เช่น ในถั่วเมล็ดแห้ง ข้าวสาลี ข้าวโพด จะมีสารอาหารโปรตีนเป็นส่วนประกอบอยู่ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถั่วเมล็ดแห้ง จำพวกถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วดำและถั่วลิสงจะมีปริมาณของโปรตีนที่สูงพอสมควร
      
       แน่นอนว่าหากจะเปรียบเทียบกับโปรตีนที่ได้จากพืชและเนื้อสัตว์ใน ปริมาณที่เท่ากัน จะพบว่าพืชจะให้โปรตีนน้อยกว่าเนื้อสัตว์ และโปรตีนจากเนื้อสัตว์จะให้สารอาหารที่จำเป็นครบถ้วนกว่า แต่ถึงจะอย่างนั้นก็ตาม ในเนื้อสัตว์ไม่ได้ให้โปรตีนเพียงอย่างเดียว แต่มักจะได้ไขมันที่ปนอยู่เข้าไปด้วย ทำให้ผู้ที่กินเนื้อสัตว์มากๆ มักจะเกิดโรคหัวใจและมะเร็งจากคอเลสเตอรอลที่ได้รับมามากๆ
      
       ก็เป็นอันว่าผู้ที่กินเจสามารถสบายใจได้ว่าร่างกายจะไม่ขาดโปรตีนแน่ เพราะยังสามารถกินถั่วหรือผลิตภัณฑ์จากถั่วได้อยู่ แถมยังเป็นการขับสารพิษออกจากร่างกาย ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น ผิวพรรณผ่องใส โลหิตจะถูกฟอกให้สะอาดขึ้นด้วย “108 เคล็ดกิน” ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการกินเจกันถ้วนหน้า

ดูแลเหงือกและฟันด้วยการกิน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 กันยายน 2548 15:35 น.
       ปากของเราเป็นด่านแรกที่อาหารจะต้องผ่านเข้าไป แต่ลองคิดดูสิว่า หากในปากเราไม่มีเหงือกและฟัน การกินอาหารคงจะหมดรสชาติไปไม่น้อยเลยทีเดียว
       

       ฟันถือเป็นอวัยวะที่แข็งแกร่งที่สุดในร่างกาย แต่ก็ยังผุกร่อนได้เพราะการกินอาหารไม่ถูกต้อง และไม่ได้รับการดูแลรักษา แต่เหงือกนั้นสำคัญยิ่งกว่าฟันเสียอีก เพราะเป็นอวัยวะที่ละเอียดอ่อน มีหน้าที่หุ้มรากฟัน ทันตแพทย์มักจะบอกเสมอว่า รักษาโรคเหงือกยากกว่ารักษาโรคฟันเสียอีก วันนี้ "108 เคล็ดกิน" จึงมีวิธีบำรุงรักษาฟันและเหงือกด้วยการกินมาฝาก
      
       สำหรับฟันของเรานั้น ต้องการสารอาหารประเภทแคลเซียมและฟอสฟอรัส รวมทั้งวิตามิน ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นตัวประกอบให้ฟันเราแข็งแรง โดยปกติแล้ว ถ้าเรากินอาหารครบ 5 หมู่ เราก็จะได้ฟอสฟอรัสเพียงพอจากการกินอาหาร แต่อาหารส่วนใหญ่ไม่ได้มีแคลเซียมเสมอไป ร่างกายเราจึงมักขาด ดังนั้นจึงต้องเสริมด้วยอาหารจำพวกน้ำนม เนยแข็ง หรือผักประเภทกะหล่ำดอก มะเขือเทศ ฟักทอง ผักโขม ตำลึง ใบมะกรูด ใบกระเพาขาว ใบแค ใบบัวบก ใบยอ ใบ ไข่แดง ปลา ปลาตัวเล็กที่กินได้ทั้งกระดูก และสำหรับน้ำอัดลมนั้นถือเป็นศัตรูของฟันเลยทีเดียว เพราะมีฤทธิ์กัดกร่อนมาก
      
       ส่วนเหงือกนั้น ก็ควรบำรุงด้วยการกินผลไม้สด ผักสด ที่ให้วิตามินซี เช่น ส้มต่างๆ มะนาว มะเขือเทศ มะละกอ ฝรั่ง สับปะรด กะหล่ำปลี ผักกาดหอม หัวหอม ซึ่งอาหารประเภทนี้จะ ให้วิตามินสูง เหงือกของเราจะได้สีสดใส ไม่คล้ำหรือซีด ดูเป็นคนสุขภาพดี ไม่เป็นโรคเลือดออกตามไรฟันด้วย
      
       คนที่เคยเป็นโรคเหงือกหรือโรคฟันคงจะเข้าใจถึงความทรมานได้ดี เพราะฉะนั้นเรามาดูแลอวัยวะสำคัญสองสิ่งนี้ของเราไว้ก่อนจะสายเกินไปดีกว่า

กินเจมื้อไหนก็ไม่ขาดโปรตีน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 ตุลาคม 2548 14:46 น.
เทศกาลกินเจมาถึงแล้ว หลายๆ คนก็เริ่มกินเจกันไปเป็นที่เรียบร้อย แต่บางคนยังสองจิตสองใจ กลัวว่าร่างกายจะได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ โดยเฉพาะสารอาหารโปรตีน เพราะการกินเจนั้นจะห้ามกินเนื้อสัตว์
      
       แต่จริงๆ แล้ว โปรตีนไม่ได้มีอยู่ในเนื้อสัตว์อย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังพบในพืชด้วย เช่น ในถั่วเมล็ดแห้ง ข้าวสาลี ข้าวโพด จะมีสารอาหารโปรตีนเป็นส่วนประกอบอยู่ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถั่วเมล็ดแห้ง จำพวกถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วดำและถั่วลิสงจะมีปริมาณของโปรตีนที่สูงพอสมควร
      
       แน่นอนว่าหากจะเปรียบเทียบกับโปรตีนที่ได้จากพืชและเนื้อสัตว์ใน ปริมาณที่เท่ากัน จะพบว่าพืชจะให้โปรตีนน้อยกว่าเนื้อสัตว์ และโปรตีนจากเนื้อสัตว์จะให้สารอาหารที่จำเป็นครบถ้วนกว่า แต่ถึงจะอย่างนั้นก็ตาม ในเนื้อสัตว์ไม่ได้ให้โปรตีนเพียงอย่างเดียว แต่มักจะได้ไขมันที่ปนอยู่เข้าไปด้วย ทำให้ผู้ที่กินเนื้อสัตว์มากๆ มักจะเกิดโรคหัวใจและมะเร็งจากคอเลสเตอรอลที่ได้รับมามากๆ
      
       ก็เป็นอันว่าผู้ที่กินเจสามารถสบายใจได้ว่าร่างกายจะไม่ขาดโปรตีนแน่ เพราะยังสามารถกินถั่วหรือผลิตภัณฑ์จากถั่วได้อยู่ แถมยังเป็นการขับสารพิษออกจากร่างกาย ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น ผิวพรรณผ่องใส โลหิตจะถูกฟอกให้สะอาดขึ้นด้วย “108 เคล็ดกิน” ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการกินเจกันถ้วนหน้า

ดูแลเหงือกและฟันด้วยการกิน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 กันยายน 2548 15:35 น.
       ปากของเราเป็นด่านแรกที่อาหารจะต้องผ่านเข้าไป แต่ลองคิดดูสิว่า หากในปากเราไม่มีเหงือกและฟัน การกินอาหารคงจะหมดรสชาติไปไม่น้อยเลยทีเดียว
       

       ฟันถือเป็นอวัยวะที่แข็งแกร่งที่สุดในร่างกาย แต่ก็ยังผุกร่อนได้เพราะการกินอาหารไม่ถูกต้อง และไม่ได้รับการดูแลรักษา แต่เหงือกนั้นสำคัญยิ่งกว่าฟันเสียอีก เพราะเป็นอวัยวะที่ละเอียดอ่อน มีหน้าที่หุ้มรากฟัน ทันตแพทย์มักจะบอกเสมอว่า รักษาโรคเหงือกยากกว่ารักษาโรคฟันเสียอีก วันนี้ "108 เคล็ดกิน" จึงมีวิธีบำรุงรักษาฟันและเหงือกด้วยการกินมาฝาก
      
       สำหรับฟันของเรานั้น ต้องการสารอาหารประเภทแคลเซียมและฟอสฟอรัส รวมทั้งวิตามิน ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นตัวประกอบให้ฟันเราแข็งแรง โดยปกติแล้ว ถ้าเรากินอาหารครบ 5 หมู่ เราก็จะได้ฟอสฟอรัสเพียงพอจากการกินอาหาร แต่อาหารส่วนใหญ่ไม่ได้มีแคลเซียมเสมอไป ร่างกายเราจึงมักขาด ดังนั้นจึงต้องเสริมด้วยอาหารจำพวกน้ำนม เนยแข็ง หรือผักประเภทกะหล่ำดอก มะเขือเทศ ฟักทอง ผักโขม ตำลึง ใบมะกรูด ใบกระเพาขาว ใบแค ใบบัวบก ใบยอ ใบ ไข่แดง ปลา ปลาตัวเล็กที่กินได้ทั้งกระดูก และสำหรับน้ำอัดลมนั้นถือเป็นศัตรูของฟันเลยทีเดียว เพราะมีฤทธิ์กัดกร่อนมาก
      
       ส่วนเหงือกนั้น ก็ควรบำรุงด้วยการกินผลไม้สด ผักสด ที่ให้วิตามินซี เช่น ส้มต่างๆ มะนาว มะเขือเทศ มะละกอ ฝรั่ง สับปะรด กะหล่ำปลี ผักกาดหอม หัวหอม ซึ่งอาหารประเภทนี้จะ ให้วิตามินสูง เหงือกของเราจะได้สีสดใส ไม่คล้ำหรือซีด ดูเป็นคนสุขภาพดี ไม่เป็นโรคเลือดออกตามไรฟันด้วย
      
       คนที่เคยเป็นโรคเหงือกหรือโรคฟันคงจะเข้าใจถึงความทรมานได้ดี เพราะฉะนั้นเรามาดูแลอวัยวะสำคัญสองสิ่งนี้ของเราไว้ก่อนจะสายเกินไปดีกว่า

ข้าวต้มลูกโยน กับวันออกพรรษา

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 1 พฤศจิกายน 2547 16:44 น.
ประเพณีตักบาตรเทโวอย่างยิ่งใหญ่ ที่จังหวัดอุทัยธานี
       เมื่อพูดถึงวันออกพรรษา ชาวพุทธหลายคนก็คงนึกถึงการ “ตักบาตรเทโว” หรือชื่อเรียกเต็มๆ ว่า “ตักบาตรเทโวโรหนะ” ที่ทำกันเป็นประจำหลังวันออกพรรษา ซึ่งคำว่า “เทโวโรหนะ” แปลว่า การหยั่งลงจากเทวโลก ซึ่งก็หมายถึงว่า วันนั้นเป็นวันที่พระพุทธเจ้าได้เสด็จลงจากสวรรค์ หลังจากที่ได้เสด็จไปเทศนาโปรดพระมารดา ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งวันออกพรรษาในปีนี้ตรงกับวันที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา
      
       แล้วข้าวต้มลูกโยนมาเกี่ยวข้องกับวันออกพรรษาอย่างได้ไร “108 เคล็ดกิน” จะเฉลยให้ฟัง
      
       ในวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทวโลกนั้น นอกจากเหล่าเทวดาจะมาคอยส่งเสด็จและเสกบันไดแก้ว บันไดเงิน บันไดทองให้พระพุทธเจ้าได้เสด็จลงมาแล้ว เหล่าประชาชนทั้งหลายต่างก็ตั้งใจจะไปทำบุญตักบาตรกับพระพุทธเจ้ากันอย่าง มากมายเช่นกัน
      
       เนื่องจากมีผู้คนไปรอใส่บาตรอย่างเนืองแน่น จึงมีบางคนที่ไม่สามารถเข้าไปใส่บาตรได้ ดังนั้นจึงได้มีคนคิดทำข้าวต้มลูกโยน ซึ่งเป็นข้าวเหนียวนึ่ง ห่อด้วยใบมะพร้าว ทิ้งหางยาว แล้วตั้งจิตอธิษฐาน และโยนขนมลูกโยนนั้นใส่บาตรของพระพุทธเจ้า
      
       แต่มาถึงวันนี้อาจจะหาขนมลูกโยนได้ยากสักหน่อย แต่หากใครไปตักบาตรเทโวที่จังหวัดอุทัยธานีแล้วละก็เชื่อว่าคงจะได้เห็นแน่ นอน เพราะข้าวต้มลูกโยนนั้นถือเป็นสัญลักษณ์ของการตักบาตรเทโวที่จังหวัดนี้ไป เสียแล้ว

ใบเตย พืชธรรมดาที่ไม่ธรรมดา

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 สิงหาคม 2547 14:20 น.

       ใบอะไรเอ่ย ใช้ได้สารพัดประโยชน์ ใช้กินก็ได้ ใช้ดื่มก็ดี กลิ่นก็หอมชื่นใจ แถมยังมีประโยชน์มากมายต่อร่างกายอีกด้วย??
      
       หากยังนึกไม่ออก "108 เคล็ดกิน" จะเฉลยให้ก็ได้ว่าใบที่ว่านั่นก็คือ "ใบเตย" พืชพื้นบ้านของไทยเรานั่นเอง
      
       ใบเตย ถูกนำมาใส่เพื่อเพิ่มสีเพิ่มกลิ่นให้ขนมไทยหลายๆ อย่าง ถูกนำมาเป็นเครื่องดื่มดับกระหาย แถมบางครั้ง ก็ยังทำหน้าที่เป็นเหมือนน้ำหอมดับกลิ่นในรถยนต์อย่างที่เห็นในรถแท็กซี่ บ่อยๆ
      
       แต่ถึงอย่างนั้น บางคนก็อาจยังไม่ทราบถึงประโยชน์จริงๆ ของใบเตย ซึ่งจะขอนำมาบอกเล่าให้ทราบกันว่า ในใบเตยนั้นประกอบด้วยน้ำมันหอมระเหย และคลอโรฟิลด์ ใบของต้นเตยนั้น เมื่อนำมาชงเป็นเครื่องดื่มนอกจากจะช่วยให้ชุ่มคอ ชื่นใจ สามารถลดการกระหายน้ำได้แล้ว ก็ยังช่วยบำรุงหัวใจได้อีกด้วย และถ้านำใบสดมาตำก็สามารถรักษาโรคผิวหนัง และโรคหัดได้ ส่วนรากของใบเตยก็สามารถช่วยขับปัสสาวะและรักษาโรคเบาหวานได้ หากเอามาชงเป็นชาก็จะสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยผู้ป่วยสามารถนำใบเตยมาทำเป็นชาไว้ดื่มเอง เพียงนำใบเตยมาล้างให้สะอาด ตากแดดให้แห้ง นำมาชงกับน้ำร้อนดื่มได้เลย หรือหากจะเก็บไว้ชงได้นานๆ ก็ให้นำไปเตยที่หั่นแล้วนั้นไปคั่วไฟอ่อนๆ จนแห้งดี และเก็บใส่ภาชนะปิดฝาให้เรียบร้อย หากอยากดื่มขึ้นมาเมื่อไรก็นำมาชงได้ทันที
      
       
คราวนี้ก็ได้รู้กันแล้วว่า ใบเตย พืชธรรมดาแต่คุณค่าไม่ธรรมดาที่เราได้เคยพบเคยเห็นกันจนชาชินจนดูเหมือนไม่ มีความสำคัญนั้น จริงๆ แล้ว มีดีมากกว่าที่ใครๆ คิดไว้เสียอีก ว่าแล้วก็คอแห้ง ต้องขอตัวไปหาน้ำใบเตยหอมๆ มาดื่มหน่อยดีกว่า