ความจริงแซนด์วิชที่ดูเหมือนเป็นอาหารสิ้นคิดหรืออาหารของคนจนนั้น แต่เมื่อเกะขนมปังที่ประกบคู่ออกมา เนื้อแท้เมนูด่วนนี้กลับมีที่มาไม่ธรรมดาเลย เพราะตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา แซนด์วิชเป็นถึงเครื่องเสวยสำหรับพระราชวงศ์ในยุโรปทีเดียว ยิ่งเวลาผ่านไปแซนด์วิชก็เริ่มกลายเป็นอาหารที่ถูกพัฒนาจนมีรูปแบบมากมาย หลายชนิด จากเครื่องปรุงที่หลากหลายและความนิยมที่แพร่หลายออกไป ทำให้แซนด์วิชกลายเป็นของกินที่ถูกบรรจุไว้ในเมนูของร้านอาหารแทบทุกประเภท โดยเฉพาะร้านอาหารในรถไฟ เรือเดินสมุทร และเมนูของรูมเซอร์วิสในโรงแรมทุกระดับ | |||||
เขาตั้งข้อสังเกตว่าแซนด์วิชของทุกโรงแรมล้วนแต่มีรูปร่างหน้าตาที่ เหมือนกันแทบไม่ผิดเพี้ยน โดยเฉพาะ“คลับแซนด์วิช” ซึ่งเป็นแซนด์วิชที่มีปริมาณมาก เหมาะสำหรับที่จะกินเป็นอาหารมื่อใดมื้อหนึ่ง ล้วนมีหน้าตาและเครื่องปรุงที่เหมือนกันทั้งนั้น James Parkinson จัดการเลือกเฟ้นเครื่องปรุงสุดพิเศษที่เขามั่นใจว่า เป็นเครื่องปรุงที่ให้รสชาติ กลิ่นอาย และความหลากหลาย ใส่ลงไปใน “คลับแซนด์วิช”ชิ้นพิเศษของเขา เพื่อให้สมกับลูกค้ากระเป๋าหนักที่พักอยู่ในโรงแรมหรูระยับระดับห้าดาว โดยที่เขามั่นใจว่าหากลูกค้าที่โปรดปรานอาหารชนิดนี้ ได้กิน “คลับแซนด์วิช”สูตรพิเศษของเขาแล้ว จะต้องประทับใจในความพิเศษอย่างยากที่จะลืมได้ | |||||
เท่านั้นยังไม่พอ สำหรับเนื้อไก่ที่จะใช้ปรุงเป็นไส้ ก็ต้องเป็นเนื้อไก่ชั้นเยี่ยมของโลกจากฝรั่งเศส ที่เรียกขานกันว่า Poulet de Bresse อันเป็นไก่พื้นเมืองที่ถูกสงวนไว้ให้มีการเพาะพันธุ์แต่ในฝรั่งเศสเท่านั้น เพราะเป็นไก่ที่มีหงอนสีแดงสด ขนเป็นสีขาวบริสุทธิ์ทุกเส้นทั้งตัว และมีหนังหน้าแข้งตลอดจนถึงตีนเป็นสีน้ำเงินเข้ม อันเป็นสีของธงชาติและเป็นสัญญลักษณ์ของฝรั่งเศส ราคาขายส่งอยู่ที่กิโลละ 21 ดอลล่าร์ | |||||
ส่วนขนมปังที่ใช้เป็นขนมปังพิเศษที่หมักแป้งนานถึง24ชั่วโมงก่อนนำไป อบ จากนั้นนำมาสไลด์เป็นแผ่นหนาประมาณ 1 ซม. และนำเอาเครื่องปรุงดังกล่าวบรรจุเป็นไส้สองชั้น มีน้ำหนักประมาณ 530 กรัม “คลับ แซนด์วิช”ที่ว่านี้ถูกตั้งชื่อว่า “Von Essen Platinum Club Sandwich”ซึ่งได้ขึ้นทำเนียบ “คลับแซนด์วิช”ที่ราคาแพงที่สุดในโลก ด้วยราคาที่ 100 ปอนด์หรือ 197 ดอลลาร์ ฟังจากการเลือกเครื่องปรุงที่ทั้งหายากและราคาแพงสุดๆ จึงไม่น่าสงสัยเลยว่า “คลับแซนด์วิช”ชนิดนี้ เหตุใดจึงมีราคาแพงลิบลิ่ว แต่ก็ยังอดสงสัยได้ว่า จะมีคนสั่งกินกันปีละกี่อันเชียว ในยามที่เศรษฐกิจโลกยังไม่ยอมโงหัวสักเท่าไร เพราะกี่สักกี่คนจะกล้าหาญกินอาหารที่แพงราวกับทองคำ เพียงชั่วอิ่มเดียว!!!!!! |
No comments:
Post a Comment