แต่อย่าเพิ่งแปลกใจไปว่าโรงนาเก็บข้าวที่ไหนจะมาตั้งอยู่ในซอย สุขุมวิท 36 กัน เพราะโรงนาที่ “ตระเวนกิน” กำลังพูดถึงนี้แท้ที่จริงแล้วก็คือร้านอาหารขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า “Barn@36” (บานแอทสามสิบหก) เป็นร้านอาหารที่ชวนนั่ง บรรยากาศตกแต่งเหมือนโรงนาสไตล์ตะวันตกกึ่งรีสอร์ทที่ผสมผสานธรรมชาติและ ความสะดวกสบายเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว ตรงตามคอนเซ็ปต์ของทางร้านที่ว่าเป็น โรงนากลางซอยสุขุมวิท | ||||
ส่วนเรื่องอาหารของที่ร้านนี้เน้นเป็นสเต็กเฮ้าส์ ที่ได้นำเอาสเต็กชั้นยอดรสดีจาก บ้านสเต็ก โบนันซ่า เขาใหญ่มา เป็นเมนูสเต็กจานเด็ดให้คอกินสเต็กได้อิ่มหนำกันแบบจุใจ รวมถึงยังมีเมนูก๋วยเตี่ยวขึ้นชื่อของทางร้านและอาหารไทยโบราณที่ถึงแม้จะมี เมนูไม่มากมายแต่ก็มีให้เลือกสั่งมาลิ้มรส | ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * ร้าน “Barn@36” ตั้ง อยู่ที่ 67 ซอยสุขุมวิท 36 สุขุมวิท คลองตัน คลองเตย กรุงเทพฯ การเดินทางถ้ามาจากถ.สุขุมวิท ให้ตรงมาที่ซ.สุขุมวิท 36 เข้ามาในซอยแล้วจะเห็นร้านBarn@36 อยู่ด้านซ้ายมือ มีป้ายร้านให้เห็นชัดเจน เปิดทุกวัน เวลา 11.00-23.00 น. ที่ร้านรับจัดงานเลี้ยงทั้งในและนอกสถานที่ด้วย โทร. 0-2258-5937, 0-2260-4292, 08-6328-8989 หรือเข้าไปดูราละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.barn36.com/ |
Sunday, October 30, 2011
“Barn@36” โรงนาแห่งความอร่อย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 ตุลาคม 2554 15:35 น.
“Barn@36” โรงนาแห่งความอร่อย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 ตุลาคม 2554 15:35 น.
แต่อย่าเพิ่งแปลกใจไปว่าโรงนาเก็บข้าวที่ไหนจะมาตั้งอยู่ในซอย สุขุมวิท 36 กัน เพราะโรงนาที่ “ตระเวนกิน” กำลังพูดถึงนี้แท้ที่จริงแล้วก็คือร้านอาหารขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า “Barn@36” (บานแอทสามสิบหก) เป็นร้านอาหารที่ชวนนั่ง บรรยากาศตกแต่งเหมือนโรงนาสไตล์ตะวันตกกึ่งรีสอร์ทที่ผสมผสานธรรมชาติและ ความสะดวกสบายเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว ตรงตามคอนเซ็ปต์ของทางร้านที่ว่าเป็น โรงนากลางซอยสุขุมวิท | ||||
ส่วนเรื่องอาหารของที่ร้านนี้เน้นเป็นสเต็กเฮ้าส์ ที่ได้นำเอาสเต็กชั้นยอดรสดีจาก บ้านสเต็ก โบนันซ่า เขาใหญ่มา เป็นเมนูสเต็กจานเด็ดให้คอกินสเต็กได้อิ่มหนำกันแบบจุใจ รวมถึงยังมีเมนูก๋วยเตี่ยวขึ้นชื่อของทางร้านและอาหารไทยโบราณที่ถึงแม้จะมี เมนูไม่มากมายแต่ก็มีให้เลือกสั่งมาลิ้มรส | ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * ร้าน “Barn@36” ตั้ง อยู่ที่ 67 ซอยสุขุมวิท 36 สุขุมวิท คลองตัน คลองเตย กรุงเทพฯ การเดินทางถ้ามาจากถ.สุขุมวิท ให้ตรงมาที่ซ.สุขุมวิท 36 เข้ามาในซอยแล้วจะเห็นร้านBarn@36 อยู่ด้านซ้ายมือ มีป้ายร้านให้เห็นชัดเจน เปิดทุกวัน เวลา 11.00-23.00 น. ที่ร้านรับจัดงานเลี้ยงทั้งในและนอกสถานที่ด้วย โทร. 0-2258-5937, 0-2260-4292, 08-6328-8989 หรือเข้าไปดูราละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.barn36.com/ |
Wednesday, September 28, 2011
“ตำลึง”ประโยชน์ล้นเหลือ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 กุมภาพันธ์ 2548 17:54 น.
ยังจำผักสวนครัวรั้วกินได้ที่มีชื่อว่า “ตำลึง” กันได้ไหมเอ่ย?
ตำลึง ซึ่งมีลักษณะเป็นเถาไม้เลื้อย มีมือจับเกาะยึดต้นไม้อื่นๆ มีดอกสีขาว มีผลเป็นรูปยาวรีคล้ายแตงกวา มีใบเป็นรูปทรงคล้ายหัวใจ เวลาเอาใบและยอดอ่อนๆ มาแกงจืดกับหมูสับแล้วละก็... อร่อยอย่าบอกใคร
ไม่ใช่แค่อร่อยอย่างเดียว แต่ตำลึงยังมีประโยชน์อีกมาก มี ทั้งสารเบต้าแคโรทีนที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง ลดน้ำตาลในเลือด และหัวใจขาดเลือด มีแคลเซียมช่วยบำรุงกระดูกและฟัน มีฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก ไนอาซิน และวิตามินซี ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดลพบว่า หากใครกินตำลึงบ่อยๆ เส้นใยอาหารในตำลึงก็สามารถช่วยลดอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะ อาหารและได้อีกด้วย
นอกจากนั้นตามตำราแพทย์แผนโบราณ ตำลึงถือเป็น ยาเย็น ใบช่วยขับพิษ และถอนพิษไข้ แก้อาการแพ้ อักเสบ แมลงมีพิษกัดต่อย แก้แสบคัน โดยใช้ใบตำลึงสดๆ ประมาณ 1 กำมือมาล้างให้สะอาด แล้วตำให้ละเอียด ผสมน้ำเล็กน้อย นำมาทาบริเวณที่มีอาการคันก็จะหายได้
ตำลึงเป็นผักที่พบได้ง่าย แถมปลูกก็ยังง่าย เพียงแค่เอาเมล็ดจากผลที่สุกจัดๆ มาเพาะ หรือเอาเถาแก่ยาวประมาณ 6-8 นิ้ว มาปักลงในดินผสมปุ๋ย หมั่นรดน้ำบ่อยๆ และหาไม้มาทำหลักให้ตำลึงเลื้อยเมื่อเถาเริ่มงอก ปลูกเอาเองไม่ต้องซื้อของใคร แค่นี้ก็ได้ต้นตำลึงเอาไว้กินแกงจืดกันได้ทุกมื้อ และถ้ายิ่งเด็ด ยอดตำลึงก็จะยิ่งขึ้นงาม เพราะฉะนั้นจะลองเปลี่ยนเมนูเป็นแกงเลียง ต้มเลือดหมู หรือจะนึ่งจิ้มน้ำพริกก็กินกันได้ไม่มีเบื่อ
ตำลึง ซึ่งมีลักษณะเป็นเถาไม้เลื้อย มีมือจับเกาะยึดต้นไม้อื่นๆ มีดอกสีขาว มีผลเป็นรูปยาวรีคล้ายแตงกวา มีใบเป็นรูปทรงคล้ายหัวใจ เวลาเอาใบและยอดอ่อนๆ มาแกงจืดกับหมูสับแล้วละก็... อร่อยอย่าบอกใคร
ไม่ใช่แค่อร่อยอย่างเดียว แต่ตำลึงยังมีประโยชน์อีกมาก มี ทั้งสารเบต้าแคโรทีนที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง ลดน้ำตาลในเลือด และหัวใจขาดเลือด มีแคลเซียมช่วยบำรุงกระดูกและฟัน มีฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก ไนอาซิน และวิตามินซี ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดลพบว่า หากใครกินตำลึงบ่อยๆ เส้นใยอาหารในตำลึงก็สามารถช่วยลดอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะ อาหารและได้อีกด้วย
นอกจากนั้นตามตำราแพทย์แผนโบราณ ตำลึงถือเป็น ยาเย็น ใบช่วยขับพิษ และถอนพิษไข้ แก้อาการแพ้ อักเสบ แมลงมีพิษกัดต่อย แก้แสบคัน โดยใช้ใบตำลึงสดๆ ประมาณ 1 กำมือมาล้างให้สะอาด แล้วตำให้ละเอียด ผสมน้ำเล็กน้อย นำมาทาบริเวณที่มีอาการคันก็จะหายได้
ตำลึงเป็นผักที่พบได้ง่าย แถมปลูกก็ยังง่าย เพียงแค่เอาเมล็ดจากผลที่สุกจัดๆ มาเพาะ หรือเอาเถาแก่ยาวประมาณ 6-8 นิ้ว มาปักลงในดินผสมปุ๋ย หมั่นรดน้ำบ่อยๆ และหาไม้มาทำหลักให้ตำลึงเลื้อยเมื่อเถาเริ่มงอก ปลูกเอาเองไม่ต้องซื้อของใคร แค่นี้ก็ได้ต้นตำลึงเอาไว้กินแกงจืดกันได้ทุกมื้อ และถ้ายิ่งเด็ด ยอดตำลึงก็จะยิ่งขึ้นงาม เพราะฉะนั้นจะลองเปลี่ยนเมนูเป็นแกงเลียง ต้มเลือดหมู หรือจะนึ่งจิ้มน้ำพริกก็กินกันได้ไม่มีเบื่อ
“ตำลึง”ประโยชน์ล้นเหลือ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 กุมภาพันธ์ 2548 17:54 น.
ยังจำผักสวนครัวรั้วกินได้ที่มีชื่อว่า “ตำลึง” กันได้ไหมเอ่ย?
ตำลึง ซึ่งมีลักษณะเป็นเถาไม้เลื้อย มีมือจับเกาะยึดต้นไม้อื่นๆ มีดอกสีขาว มีผลเป็นรูปยาวรีคล้ายแตงกวา มีใบเป็นรูปทรงคล้ายหัวใจ เวลาเอาใบและยอดอ่อนๆ มาแกงจืดกับหมูสับแล้วละก็... อร่อยอย่าบอกใคร
ไม่ใช่แค่อร่อยอย่างเดียว แต่ตำลึงยังมีประโยชน์อีกมาก มี ทั้งสารเบต้าแคโรทีนที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง ลดน้ำตาลในเลือด และหัวใจขาดเลือด มีแคลเซียมช่วยบำรุงกระดูกและฟัน มีฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก ไนอาซิน และวิตามินซี ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดลพบว่า หากใครกินตำลึงบ่อยๆ เส้นใยอาหารในตำลึงก็สามารถช่วยลดอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะ อาหารและได้อีกด้วย
นอกจากนั้นตามตำราแพทย์แผนโบราณ ตำลึงถือเป็น ยาเย็น ใบช่วยขับพิษ และถอนพิษไข้ แก้อาการแพ้ อักเสบ แมลงมีพิษกัดต่อย แก้แสบคัน โดยใช้ใบตำลึงสดๆ ประมาณ 1 กำมือมาล้างให้สะอาด แล้วตำให้ละเอียด ผสมน้ำเล็กน้อย นำมาทาบริเวณที่มีอาการคันก็จะหายได้
ตำลึงเป็นผักที่พบได้ง่าย แถมปลูกก็ยังง่าย เพียงแค่เอาเมล็ดจากผลที่สุกจัดๆ มาเพาะ หรือเอาเถาแก่ยาวประมาณ 6-8 นิ้ว มาปักลงในดินผสมปุ๋ย หมั่นรดน้ำบ่อยๆ และหาไม้มาทำหลักให้ตำลึงเลื้อยเมื่อเถาเริ่มงอก ปลูกเอาเองไม่ต้องซื้อของใคร แค่นี้ก็ได้ต้นตำลึงเอาไว้กินแกงจืดกันได้ทุกมื้อ และถ้ายิ่งเด็ด ยอดตำลึงก็จะยิ่งขึ้นงาม เพราะฉะนั้นจะลองเปลี่ยนเมนูเป็นแกงเลียง ต้มเลือดหมู หรือจะนึ่งจิ้มน้ำพริกก็กินกันได้ไม่มีเบื่อ
ตำลึง ซึ่งมีลักษณะเป็นเถาไม้เลื้อย มีมือจับเกาะยึดต้นไม้อื่นๆ มีดอกสีขาว มีผลเป็นรูปยาวรีคล้ายแตงกวา มีใบเป็นรูปทรงคล้ายหัวใจ เวลาเอาใบและยอดอ่อนๆ มาแกงจืดกับหมูสับแล้วละก็... อร่อยอย่าบอกใคร
ไม่ใช่แค่อร่อยอย่างเดียว แต่ตำลึงยังมีประโยชน์อีกมาก มี ทั้งสารเบต้าแคโรทีนที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง ลดน้ำตาลในเลือด และหัวใจขาดเลือด มีแคลเซียมช่วยบำรุงกระดูกและฟัน มีฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก ไนอาซิน และวิตามินซี ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดลพบว่า หากใครกินตำลึงบ่อยๆ เส้นใยอาหารในตำลึงก็สามารถช่วยลดอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะ อาหารและได้อีกด้วย
นอกจากนั้นตามตำราแพทย์แผนโบราณ ตำลึงถือเป็น ยาเย็น ใบช่วยขับพิษ และถอนพิษไข้ แก้อาการแพ้ อักเสบ แมลงมีพิษกัดต่อย แก้แสบคัน โดยใช้ใบตำลึงสดๆ ประมาณ 1 กำมือมาล้างให้สะอาด แล้วตำให้ละเอียด ผสมน้ำเล็กน้อย นำมาทาบริเวณที่มีอาการคันก็จะหายได้
ตำลึงเป็นผักที่พบได้ง่าย แถมปลูกก็ยังง่าย เพียงแค่เอาเมล็ดจากผลที่สุกจัดๆ มาเพาะ หรือเอาเถาแก่ยาวประมาณ 6-8 นิ้ว มาปักลงในดินผสมปุ๋ย หมั่นรดน้ำบ่อยๆ และหาไม้มาทำหลักให้ตำลึงเลื้อยเมื่อเถาเริ่มงอก ปลูกเอาเองไม่ต้องซื้อของใคร แค่นี้ก็ได้ต้นตำลึงเอาไว้กินแกงจืดกันได้ทุกมื้อ และถ้ายิ่งเด็ด ยอดตำลึงก็จะยิ่งขึ้นงาม เพราะฉะนั้นจะลองเปลี่ยนเมนูเป็นแกงเลียง ต้มเลือดหมู หรือจะนึ่งจิ้มน้ำพริกก็กินกันได้ไม่มีเบื่อ
"มะระ" ขม แต่ดี
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ | 31 พฤษภาคม 2548 16:49 น. |
ข้อความนี้เชื่อวาหลายๆคนคงคุ้นกันดี เพราะขึ้นชื่อว่าของขมๆ แล้ว ใครก็คงไม่อยากกิน แต่ก็มีผักอยู่ชนิดหนึ่งที่ขมแสนขม แต่เราก็ยังนำมาทำอาหารได้ แถมอร่อยเสียด้วย นั่นก็คือ "มะระ" นั่นเอง ที่เมืองไทยเรามีมะระให้เลือกกินถึงสองชนิด คือมะระจีน เป็นมะระลูกใหญ่ที่นิยมนำมาทำแกงจืดมะระหมูสับ หรือกินกับกุ้งแช่น้ำปลา และมะระขี้นกลูกเล็กๆ สีเขียวเข้ม รสขมจัด นิยมนำมาลวกจิ้มน้ำพริก
รสขมๆ ของมะระนั้น มีประโยชน์ตรงที่ช่วยทำให้เจริญอาหาร เพราะรสขมจะช่วยกระตุ้นให้น้ำย่อยออกมามากกว่าปกติ ทำให้เอร็ดอร่อยกับอาหารได้มากขึ้น และให้แร่ธาตุสำคัญอย่างแคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินซี ไนอาซิน และเบต้าแคโรทีน แถมเป็นยาระบายอ่อนๆ และยังช่วยลดน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ที่เป็นเบาหวานได้ รวมทั้งเชื่อว่ามะระช่วยบำรุงน้ำดี แก้ตับม้ามอักเสบ ขับพยาธิ แก้อักเสบจากพิษต่างๆ ที่สำคัญมะระขี้นกนั้น
นอกจากผลแล้ว มะระก็ยังมีประโยชน์ทั้งใบ เมล็ดและราก ใบมีรสขม คั้นเอาแต่น้ำดื่มแก้ท่อน้ำดีอักเสบ ช่วยเจริญอาหาร แต่ถ้าใช้มากอาจทำให้อาเจียนได้ แก้ไข้ตัวร้อน ดับพิษร้อน แก้อักเสบฟกช้ำ ส่วนเมล็ดรสขมมีฤทธิ์ขับพยาธิตัวกลม รากต้มน้ำดื่ม รักษาโรคริดสีดวงทวารได้
ประโยชน์เยอะขนาดนี้ แม้ขมก็ต้องยอมกิน แต่ "108 เคล็ดกิน" มีเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ สำหรับคนที่ไม่อยากให้มะระขมจนเกินไป ลองนำมะระไปคลุกกับเกลือป่นก่อนสักครู่ก่อนปรุง ต้มมะระแบบไม่ต้องปิดฝาหม้อ หรือต้มแล้วจะเทน้ำทิ้งความขมไปก่อนสักหนึ่งครั้งแล้วต้มใหม่อีกรอบ ก็จะช่วยลดความขมลงได้
อร่อยหน้าร้อนแบบปลอดภัยกับ “ทุเรียน”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 เมษายน 2548 17:51 น.
ช่วงหน้าร้อนแบบนี้แหละที่เป็นเวลาทองของผู้ที่ชื่นชอบผลไม้ที่มีหนามแหลมอย่าง “ทุเรียน” ที่ได้รับคำยกย่องว่าเป็นถึงราชาผลไม้เลยทีเดียว “108 เคล็ดกิน” เองก็เป็นหนึ่งในผู้รักทุเรียนเช่นกัน จึงรู้สึกดีใจที่มองไปทางไหนก็จะเห็นเหล่าทุเรียนวางสลอนอยู่ตามแผงให้บรรดา คนรักทุเรียนได้เลือกซื้อกัน
หลายๆ คนก็รู้ว่าทุเรียนนั้นเป็นผลไม้ที่เต็มไปด้วยคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาล แถมยังให้พลังงานสูงกว่าผลไม้ทั่วๆ ไปถึง 3-4 เท่า แต่ก็อดใจไม่ค่อยไหวทุกทีเวลาที่ได้กิน มักจะต้องมีอันที่สอง สาม สี่ ตามมาเรื่อยๆ แบบหยุดไม่ได้ แต่ดูเหมือนทุเรียนจะมีคนรักกับคนชังเท่าๆ กัน ซึ่งคนที่ไม่ชอบนั้นบางคนถึงกับกับทนกลิ่นของทุเรียนไม่ได้เลย
สำหรับคนที่ชอบกินทุเรียนมากๆ ก็ต้องระวังให้ดี เพราะที่ผ่านมาก็เคยมีข่าวแล้วว่ามีคนกินทุเรียนมากเกินไปจนตาย เนื่องจากว่าทุเรียนนั้นให้พลังงานมาก เมื่อกินเข้าไปแล้วจะเกิดความร้อนขึ้นในร่างกายสูงกว่าปกติ สังเกตได้จากอาการร้อนในที่มักเกิดขึ้นหลังการกินทุเรียน สำหรับคนที่มีโรคประจำตัวอย่าง โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ความร้อนที่เกิดจากการกินทุเรียนมากๆ นั้นก็จะทำให้โรคกำเริบได้ ถึงกับเสียชีวิตไปเลยก็มี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกินทุเรียนกับเหล้าหรือเบียร์นั้นถือเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะสารซัลเฟอร์ในทุเรียนจะทำปฏิกิริยากับแอลกอฮอล์ ก่อให้เกิดพิษแก่ร่างกาย เป็นอันตรายถึงชีวิตได้
แต่ทุเรียนนั้นนอกจากจะกินอร่อยแล้ว ส่วนอื่นๆ ของมันก็ยังมีประโยชน์ทางยาอีกมาก เช่นใช้ใบต้มน้ำอาบแก้ไข้ แก้โรคดีซ่านได้ รากต้นทุเรียนก็ยังนำมาต้มดื่มแก้ไข้แก้ท้องร่วงได้ด้วย รวมทั้งเนื้อที่แสนจะอร่อย ก็ยังช่วยแก้โรคผิวหนังและขับพยาธิได้ เปลือกทุเรียนก็เอามาจุดไฟสุมไล่ยุงก็ได้ ฝากอีกนิดหนึ่งสำหรับคนที่ไม่อยากเป็นร้อนใน โบราณเขาว่าให้กินมังคุดซึ่งเป็นผลไม้ที่มีรสเย็นตามเข้าไป แค่นี้ก็กินทุเรียนได้อย่างมีความสุขแล้ว
หลายๆ คนก็รู้ว่าทุเรียนนั้นเป็นผลไม้ที่เต็มไปด้วยคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาล แถมยังให้พลังงานสูงกว่าผลไม้ทั่วๆ ไปถึง 3-4 เท่า แต่ก็อดใจไม่ค่อยไหวทุกทีเวลาที่ได้กิน มักจะต้องมีอันที่สอง สาม สี่ ตามมาเรื่อยๆ แบบหยุดไม่ได้ แต่ดูเหมือนทุเรียนจะมีคนรักกับคนชังเท่าๆ กัน ซึ่งคนที่ไม่ชอบนั้นบางคนถึงกับกับทนกลิ่นของทุเรียนไม่ได้เลย
สำหรับคนที่ชอบกินทุเรียนมากๆ ก็ต้องระวังให้ดี เพราะที่ผ่านมาก็เคยมีข่าวแล้วว่ามีคนกินทุเรียนมากเกินไปจนตาย เนื่องจากว่าทุเรียนนั้นให้พลังงานมาก เมื่อกินเข้าไปแล้วจะเกิดความร้อนขึ้นในร่างกายสูงกว่าปกติ สังเกตได้จากอาการร้อนในที่มักเกิดขึ้นหลังการกินทุเรียน สำหรับคนที่มีโรคประจำตัวอย่าง โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ความร้อนที่เกิดจากการกินทุเรียนมากๆ นั้นก็จะทำให้โรคกำเริบได้ ถึงกับเสียชีวิตไปเลยก็มี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกินทุเรียนกับเหล้าหรือเบียร์นั้นถือเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะสารซัลเฟอร์ในทุเรียนจะทำปฏิกิริยากับแอลกอฮอล์ ก่อให้เกิดพิษแก่ร่างกาย เป็นอันตรายถึงชีวิตได้
แต่ทุเรียนนั้นนอกจากจะกินอร่อยแล้ว ส่วนอื่นๆ ของมันก็ยังมีประโยชน์ทางยาอีกมาก เช่นใช้ใบต้มน้ำอาบแก้ไข้ แก้โรคดีซ่านได้ รากต้นทุเรียนก็ยังนำมาต้มดื่มแก้ไข้แก้ท้องร่วงได้ด้วย รวมทั้งเนื้อที่แสนจะอร่อย ก็ยังช่วยแก้โรคผิวหนังและขับพยาธิได้ เปลือกทุเรียนก็เอามาจุดไฟสุมไล่ยุงก็ได้ ฝากอีกนิดหนึ่งสำหรับคนที่ไม่อยากเป็นร้อนใน โบราณเขาว่าให้กินมังคุดซึ่งเป็นผลไม้ที่มีรสเย็นตามเข้าไป แค่นี้ก็กินทุเรียนได้อย่างมีความสุขแล้ว
หลากคุณค่าจากแมงลัก…ผักสวนครัว
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 21 กุมภาพันธ์ 2548 17:20 น.
"แมงลัก" ผักสวนครัวชื่อแปลก ที่มีหน้าตาคล้ายกับกะเพราและโหระพา เป็นผักที่แม่บ้านชาวไทยรู้จักกันดี เนื่องจากนำมาเป็นส่วนประกอบของอาหารได้หลากหลาย เช่น เอาใบมาใส่ในแกงเลียง หรือกินสดๆ คู่กับขนมจีนก็อร่อยเด็ด
ใบแมงลักนี้มีประโยชน์มาก ทั้งช่วยขับเหงื่อ ขับลมในลำไส้ แก้วิงเวียน แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ หรือใครจะนำใบแมงลักมาต้มกับน้ำ ดื่มเป็นประจำก็จะช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับลำไส้หรือโรคทางเดินอาหารได้ด้วย และใบแมงลักยังให้สารเบต้าแคโรทีนและแคลเซียม ซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเช่นกัน
แต่สำหรับสาวๆ หลายคนอาจจะรู้จักสรรพคุณของเม็ดแมงลักมากกว่าใบแมงลัก เพราะเม็ดแมงลักนั้น มักจะถูกนำไปทำเป็นอาหารสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน เนื่อง จากเม็ดแมงลักไม่ก่อให้เกิดพลังงาน และยังมีสรรพคุณเป็นยาระบาย ช่วยให้ขับถ่ายสะดวก แถมยังช่วยลดไขมันในเส้นเลือด และช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจอีกด้วย วิธีกินก็ให้นำเมล็ดแมงลักประมาณ 2 ช้อนชา ผสมน้ำร้อน 1 แก้ว หรือจะชงกับน้ำผึ้งหรือน้ำสมุนไพรต่างๆ ก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องรอให้เม็ดแมงลักพองตัวเต็มที่เสียก่อนจึงค่อยกิน มิฉะนั้นละก็ แทนที่จะช่วยระบาย ก็กลับจะทำให้ท้องผูกแทน แล้วจะหาว่า “108 เคล็ดกิน” ไม่เตือน
| ||
ใบแมงลักนี้มีประโยชน์มาก ทั้งช่วยขับเหงื่อ ขับลมในลำไส้ แก้วิงเวียน แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ หรือใครจะนำใบแมงลักมาต้มกับน้ำ ดื่มเป็นประจำก็จะช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับลำไส้หรือโรคทางเดินอาหารได้ด้วย และใบแมงลักยังให้สารเบต้าแคโรทีนและแคลเซียม ซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเช่นกัน
แต่สำหรับสาวๆ หลายคนอาจจะรู้จักสรรพคุณของเม็ดแมงลักมากกว่าใบแมงลัก เพราะเม็ดแมงลักนั้น มักจะถูกนำไปทำเป็นอาหารสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน เนื่อง จากเม็ดแมงลักไม่ก่อให้เกิดพลังงาน และยังมีสรรพคุณเป็นยาระบาย ช่วยให้ขับถ่ายสะดวก แถมยังช่วยลดไขมันในเส้นเลือด และช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจอีกด้วย วิธีกินก็ให้นำเมล็ดแมงลักประมาณ 2 ช้อนชา ผสมน้ำร้อน 1 แก้ว หรือจะชงกับน้ำผึ้งหรือน้ำสมุนไพรต่างๆ ก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องรอให้เม็ดแมงลักพองตัวเต็มที่เสียก่อนจึงค่อยกิน มิฉะนั้นละก็ แทนที่จะช่วยระบาย ก็กลับจะทำให้ท้องผูกแทน แล้วจะหาว่า “108 เคล็ดกิน” ไม่เตือน
Subscribe to:
Posts (Atom)