Sunday, October 30, 2011

“D’ EIFFEL” เลิศรสอาหารฝรั่งเศสต้นตำรับ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 ตุลาคม 2554 12:22 น.
บรรยากาศร้าน D’ EIFFEL ตกแต่งชวนนั่ง
       ถึงแม้ว่าการเดินทางไปชม “หอไอเฟล” ของจริงที่ประเทศฝรั่งเศส ดูจะเป็นเรื่องยากสำหรับ “ตระเวนกิน” เพราะด้วยงบประมาณในการเดินทางไปเที่ยวนั้นมีน้อยเสียเหลือเกิน
      
       แต่ถ้าเป็นเรื่องการที่จะได้ลองลิ้ม “อาหารฝรั่งเศส” นั้นไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเราเลย เพราะว่าในเมืองไทยมีร้านขายอาหารฝรั่งเศสอยู่หลายร้าน และแต่ล่ะร้านก็มีอาหารฝรั่งเศสเลิศรสขนานแท้แบบต้นตำรับให้ได้ชิมกันราวกับ ว่าได้บินไปกินถึงถิ่นเลยก็ว่าได้
      
       เหมือนที่ในมื้อนี้เราไม่ต้องเสียเงินนั่งเครื่องบินไปไกลถึง ฝรั่งเศส แต่แค่ขับรถมาที่ศาลายา จ. นครปฐม ก็ได้มาลิ้มรสอาหารฝรั่งเศสที่อร่อยถูกลิ้นกันยังร้าน “D’ EIFFEL” (ดิ ไอ เฟล) ที่ร้านอาจจะไม่ได้หรูหราใหญ่โต เป็นเพียงแค่ตึกแถว 2 คูหาของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ที่ทางเจ้าของร้านคือ คุณแดง สมพร ชลมหาสวัสดิ์ นำมาตกแต่งให้สวยงามเน้นสีขาวดูสะอาดตา โปร่งโล่งสบายๆ ชวนนั่งในห้องแอร์เย็นๆ และมีโต๊ะนั่งรับลมด้านนอกด้วย
บรรยากาศภายในร้าน D’ EIFFEL
       อาหารฝรั่งเศสของที่ร้านนี้ ต้องบอกว่าเป็นสูตรสไตล์ฝรั่งเศสขนานแท้ดั้งเดิม ที่วัตถุดิบเครื่องปรุงที่สำคัญต้องนำเข้ามาจากประเทศฝรั่งเศส และผ่านการปรุงโดยเชฟสาวที่เป็นภรรยาของคุณแดงเอง ซึ่งมีฝีมือในการปรุงอาหารฝรั่งเศสได้ตามเแบบฉบับต้นตำรับแท้ๆ และมีเมนูอาหารฝรั่งเศสให้เลือกลิ้มรสมากมายในราคาไม่แพงอย่างที่คิด เพราะคุณแดงมีความตั้งใจที่จะทำร้านอาหารฝรั่งเศสให้คนเดินดินได้สัมผัสรส ชาติกันได้แบบสบายกระเป๋า
      
       สำหรับเมนูอาหารฝรั่งเศสของที่นี่มีเมนูให้เลือกลิ้มรสแบบหลากหลาย ซึ่งเมื่อมานั่งสั่งอาหารแล้วทางร้านจะเสิร์ฟขนมปังที่ทางร้านอบเองมาแบบ ร้อนๆ ให้ได้กินอุ่นกระเพาะเรียกน้ำย่อยกันก่อน แล้วค่อยสั่งเมนูอาหารมาชิมกันซึ่งมีเมนูแนะนำที่ถ้ามาที่ร้านนี้แล้วไม่ควร พลาดต้องสั่งมาลองลิ้มให้ได้ก็มีหลายเมนูด้วยกัน
ซุปเห็ด
       อย่างแรกที่อยากแนะนำเป็น ซุปเห็ด (70 บาท) เสิร์ฟมาร้อนๆ หอมกรุ่นน่าชิม ทางร้านใช้เห็ดหอมนำมาผัดกับเนย กระเทียม และมันฝรั่ง แล้วนำมาตุ๋นกับน้ำซุปเห็ดและปั่นให้ละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน ใส่เนื้อเห็ดหอมมาด้วย เวลาเสิร์ฟเติมครีมสดลงไปอีกนิด ชิมแล้วเนื้อซุปข้นเนียนรสหอมนุ่มกรุ่นกลิ่นเห็ดหอม
ซุปกุ้ง
       ตามมาด้วยอีกหนึ่งซุป คือ ซุปกุ้ง (70 บาท) ทางร้านใช้กุ้งแชบ๊วยมาบดพร้อมกับมันกุ้ง มีหอมใหญ่ผัดกับโอลีฟออยและมันกุ้ง แล้วจึงนำมาปรุงเคี่ยวรวมกับน้ำสต็อกที่ได้จากหัวกุ้ง ใส่บรั่นดีและสมุนไพรฝรั่งเศสปรุงเคี่ยวให้ทุกอย่างเข้ากันจนสุกแล้วนำมา ปั่นอีกที พร้อมกับใส่เนื้อกุ้งและครีมสดเวลาเสิร์ฟ ลิ้มรสซุปกุ้งร้อนๆ หอมกลิ่นกุ้งขึ้นจมูก เนื้อซุปข้นรสกลมกล่อมโดนใจ
ตับห่าน
       จากนั้นมาชิมเมนูจานเด่น ตับห่าน (650 บาท) ที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง เพราะทางร้านเลือกใช้ตับห่านเกรดเอจากฝรั่งเศสมาสไลด์เป็นชิ้น แล้วทอดกับโอลีฟออย มีซอสบาซามิคที่ปรุงรสเคี่ยวตุ๋นกับไวน์แดงราดมาบนตับห่าน เสิร์ฟเคียงมาด้วยร็อคเก็ตสลัด แอปเปิ้ลทอด ลูกพีชในน้ำเชื่อม และขนมปังอบกรอบ กินตับห่านแล้วขอยกนิ้วให้รสชาติที่ยอมเยี่ยมตับห่านเนื้อด้านนอกกรอบนิดๆ เนื้อในเนียนนุ่มชุ่มน้ำซอสหอมหวานกลมกล่อมลิ้น
สตูลิ้น
       สตูลิ้น (180 บาท) เป็นอีกหนึ่งเมนูขายดี ที่นำเอาลิ้นลูกวัวที่คัดมาเป็นพิเศษอย่างดี เอามาตุ๋นกับเครื่องเทศต่างๆ ตุ๋นด้วยเตาถ่านนานกว่าครึ่งวันจนลิ้นวัวนุ่ม แล้วสไลด์มาเป็นชิ้นราดด้วยเรดไวน์ซอสที่ทางร้านปรุงขึ้นมาโดยเฉพาะ ลิ้มรสสตูลิ้นวัวเนื้อนุ่มมากแทบจะละลายได้ในปากและหอมซอสรสดี และมีผักโขมผัดเนยกับมันบดมาให้กินเคียงกัน
ปลาดอลลี่ผักโขมอบชีส
       และถ้าใครชอบกินปลาขอแนะนำ ปลาดอลลี่ผักโขมอบชีส (180 บาท) เป็นปลาดอลลี่ชิ้นใหญ่นำไปนึ่งจนสุก แล้วมีผักโขมที่นึ่งสุกปรุงรสใส่เนยสด ครีมสด และเครื่องเทศ นำมาโปะบนเนื้อปลาโรยด้วยชีสแล้วอบ เสิร์ฟมาร้อนๆ กลิ่นหอมชวนกินเนื้อปลานุ่มนิ่มรสเนียนเข้ากับผักโขม และมีเครื่องเคียงให้กินคู่กันอย่างผักต้มและมันบดรสดี
ซี่โครงแกะย่าง
       แล้วก็ต้องไม่พลาดเมนูนี้ด้วย นั่นคือ ซี่โครงแกะย่าง (690 บาท) ทางร้านนำซี่โครงแกะจากออสเตรเลียมาหมักกับเครื่องเทศฝรั่งเศสแล้วนำมาก ริลล์ เสิร์ฟมากับเห็ดผัดใส่เบคอน ผักโขมผัดกระเทียม และมีมัสตาร์ดกับมิ้นซอสมาให้ด้วย แล่ชิ้นเนื้อแกะส่งเคี้ยวเข้าปากเนื้อแกะนุ่มเคี้ยวหนึบปาก ไม่เหม็นสาบเลย ได้รสชาติเครื่องหมักที่เข้มข้นซึมถึงเนื้อในถูกปากจริงๆ
เชอรี่จูเบอรี่
       ส่งท้ายด้วยของหวาน เชอรี่จูเบอรี่ (120 บาท) เป็นเชอร์รี่เฟรมกับน้ำตาล ไวน์แดง บรั่นดี และวอดก้า เฟรมจนข้นเหนียวนิดหน่อย เสิร์ฟมากับไอศกรีมรสวนิลาใส่วิปปิ้งครีมนิดหน่อย กินแล้วสัมผัสได้ถึงความหอมหวานอมเปรี้ยวนิดๆ ของเชอร์รี่และไอศกรีมเย็นๆ ชื่นใจปากดีแท้
      
       เมนูต่างๆ ที่ได้นำมาเสนอนี้จัดว่าเป็นเมนูจานเด็ดที่ไม่ควรพลาดต้องสั่งมาลองลิ้มกัน ให้ได้ และยังมีเมนูอื่นๆ อีก อาทิ หอยเชลล์อบชีส (350 บาท) กุ้งอบชีส (240 บาท) กุ้งพริกไทยดำ (240 บาท) เป็ดซอสส้ม (250 บาท) และอีกสารพันเมนูอาหารฝรั่งเศสรสเลิศแบต้นตำรับที่สามารถมาชิมลิ้มรสกันได้ ที่ร้าน “D’ EIFFEL” แห่งนี้
       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
      
       “D’ EIFFEL” (ดิ ไอ เฟล) ตั้งอยู่ที่ 135/345 ศาลายา ซ.ศาลายา 7 (ซอยธ.กสิกรไทย) จ. นครปฐม การเดินทางถ้ามาจากถ.บรมราชชนนีให้วิ่งตรงมาจนพุทธมณฑลสาย 4 จะมีป้ายบอกทางให้ขึ้นสะพานเพื่อลงมายังถ.พุทธมณฑลสาย 4 จากนั้นกลับรถแล้วชิดซ้าย ตรงมาที่ซ.ศาลายา 7 จุดสังเกตหน้าปากซอยมีธ.กสิกรไทย ให้เลี้ยวเข้าไปในซอยจะเจอ 4 แยกเล็ก ก็ให้เลี้ยวขวาแล้วตรงมาประมาณ 150 ม. จะเห็นร้านดิ ไอ เฟลอยู่ขวามือ มีที่จอดรถหน้าร้านหรือจอดภายในซอย เปิดอังคาร-อาทิตย์ (ปิดวันจันทร์) เวลา 11.00-23.00 น. แต่ครัวปิด 22.00 น. ถ้ามากินแนะนำว่าควรโทร.มาจองโต๊ะก่อน โทร. 0-2800-2095, 08-6898-1297

“Barn@36” โรงนาแห่งความอร่อย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 ตุลาคม 2554 15:35 น.
บรรยากาศร้านBarn@36 โปร่งโล่งนั่งสบาย
       ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ!! ว่าใจกลางกรุงเทพฯ อย่างซอยสุขุมวิท 36 จะมีโรงนาขนาดใหญ่มาตั้งอยู่
      
       แต่อย่าเพิ่งแปลกใจไปว่าโรงนาเก็บข้าวที่ไหนจะมาตั้งอยู่ในซอย สุขุมวิท 36 กัน เพราะโรงนาที่ “ตระเวนกิน” กำลังพูดถึงนี้แท้ที่จริงแล้วก็คือร้านอาหารขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า “Barn@36” (บานแอทสามสิบหก) เป็นร้านอาหารที่ชวนนั่ง บรรยากาศตกแต่งเหมือนโรงนาสไตล์ตะวันตกกึ่งรีสอร์ทที่ผสมผสานธรรมชาติและ ความสะดวกสบายเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว ตรงตามคอนเซ็ปต์ของทางร้านที่ว่าเป็น โรงนากลางซอยสุขุมวิท
บรรยากาศห้องแอร์นั่งสบาย
       ภายในร้านจัดพื้นที่โต๊ะนั่งไว้อย่างโปร่งโล่งสบายๆ รับลมธรรมชาติเย็นๆ แถมยังมีห้องแอร์ไว้คอยบริการ และมีมุมสวนเล็กๆ ให้เลือกนั่งตามใจชอบ อีกทั้งยังมีนักดนตรีมาเล่นเพลงสดให้ฟังในทุกวัน มีทั้งแนวโฟล์คซอง คันทรี่และป๊อป ตั้งแต่เวลา 19.30-21.00 น. แบบว่ากินอาหารไปด้วยฟังเพลงเพราะๆ ไปด้วยช่างเพลิดเพลินเสียจริงเชียว
      
       ส่วนเรื่องอาหารของที่ร้านนี้เน้นเป็นสเต็กเฮ้าส์ ที่ได้นำเอาสเต็กชั้นยอดรสดีจาก บ้านสเต็ก โบนันซ่า เขาใหญ่มา เป็นเมนูสเต็กจานเด็ดให้คอกินสเต็กได้อิ่มหนำกันแบบจุใจ รวมถึงยังมีเมนูก๋วยเตี่ยวขึ้นชื่อของทางร้านและอาหารไทยโบราณที่ถึงแม้จะมี เมนูไม่มากมายแต่ก็มีให้เลือกสั่งมาลิ้มรส
ก๋วยเตี๋ยวโรงนา
       สำหรับเมนูอาหารจานเด็ดที่อยากแนะนำให้ลิ้มรสกันให้ได้ก็มี ก๋วยเตี๋ยวโรงนา (80 บาท) เป็นเมนูเด่นของทางร้านแต่จะมีขายเฉพาะช่วงกลางวัน 11.00-15.00 น. เป็นก๋วยเตี๋ยวคล้ายกับก๋วยเตี๋ยวเลียงที่มีส่วนผสมของเครื่องสมุนไพรไทยมาก มาย ซึ่งทางร้านได้คิดสูตรเฉพาะขึ้นมาใหม่เป็นสไตล์ของตัวเอง มีเครื่องหลายอย่างที่ใส่มาในชามมีทั้งเนื้อหมูที่เคี้ยวนุ่ม ตับหมูเคี้ยวนิ่ม หมูตุ๋นจากส่วนขั้วตับเนื้อเปื่อยนุ่ม และลูกชิ้นหมูเคี้ยวเด้งปาก และน้ำซุปนั้นหอมกลิ่นเครื่องเทศรสหวานกลมกล่อม เพราะเป็นน้ำซุปกระดูกหมูที่ต้มเคี่ยวรวมกับสมุนไพร ส่วนเส้นนั้นมีแต่เส้นเล็กอย่างเดียว (ที่ทางร้านเรียกว่าเส้นเวียดนาม) มีความเหนียวนุ่มกินอร่อยปากดี
ขนมปังอบชีส
       จากนั้นมาชิมเมนูกินเล่นที่อร่อยและขายดี นั่นคือ ขนมปังอบชีส (180 บาท) เป็นขนมปังฝรั่งเศสที่ทางร้านสั่งมาเป็นพิเศษนำมาหั่นเป็นชิ้นแล้วทาด้วยพา เมซานชีสและมอสซาเรลลาชีส แล้วก็นำเข้าเตาอบ เสิร์ฟมาร้อนๆ ได้กลิ่นชีสหอมๆ โชยเข้าจมูกกินขนมปังกรอบนอกเนื้อในนุ่มฉ่ำชีสหนืดๆรสดีถูกใจถูกปากคนชอบชี สกันไป
ไส้กรอกรมควัน
       แล้วก็ขอเอาใจคนชอบกินไส้กรอกต้องสั่งเมนูนี้ ไส้กรอกรมควัน (120 บาท) เป็นไส้กรอกสูตรจากบ้านสเต็กที่เขาใหญ่ ที่ทางร้านสั่งทำเป็นพิเศษ เป็นไส้กรอกหมูล้วนๆ ที่ผ่านการรมควันแล้วนำมาย่างอีกที กินแล้วถูกใจปากมากๆ ตรงที่เนื้อไส้กรอกได้รสชาติของหมูล้วนๆ เคี้ยวเด้งกรึบปากมากๆ
สปาเก็ตตี้ปลาเค็ม+แฮม
       และหันมากินเมนูเส้นกันบ้างที่อยากแนะนำมี สปาเก็ตตี้ปลาเค็ม+แฮม (280 บาท) ทางร้านนำปลาเค็มที่เลือกมาเป็นพิเศษนำมาอบก่อนแล้วนำไปแช่กับน้ำมันมะกอก และจึงนำเนื้อปลาเค็มมายีให้ละเอียดและผัดให้เข้ากันกับเส้นสปาเก็ตตี้ พร้อมกับใส่แฮมมาด้วย ชิมแล้วถูกลิ้นเส้นสปาเก็ตตี้เหนียวนุ่มซึมรสปลาเค็มหอมๆ กินเข้ากันกับแฮมรสดี
สปาเก็ตตี้ทะเล
       สปาเก็ตตี้ทะเล (280 บาท) เป็นอีกหนึ่งเมนูจานเส้นที่น่ากิน ทางร้านนำเส้นสปาเก็ตตี้มาผัดกับน้ำมันมะกอก ใส่พริกขี้หนูสด ใส่ปลาแซลมอน กุ้ง หมึก และหอยแมลงภู่ ม้วนเส้นสปาเก็ตตี้เข้าปากเคี้ยวเส้นเด้งนุ่มรสชาติกลมกล่อมออกเผ็ดนิดๆ เข้ากับเครื่องทะเลที่ใส่มาดีแท้
นิวยอร์คสเต็ก
       และก็ต้องไม่พลาดลิ้มรสเมนูสเต็กจานเด่นเมนูนี้ นิวยอร์คสเต็ก (380 บาท) เป็นสเต็กเนื้อ ที่นำเนื้อส่วนริบอายมาหมักกับเครื่องเทศสูตรพิเศษ และน้ำมันสูตรพิเศษ หมักนานกว่า 2 อาทิตย์ ก่อนจะนำมากริลล์ เสิร์ฟมาพร้อมเครื่องเคียงอย่างข้าวโพดอบเนย และข้าวกล้องหุงสุกผัดใส่น้ำมันมะกอกคลุกกับแครอทและพริกหยวก แล่ชิ้นเนื้อสเต็กเคี้ยวนุ่มหนึบหนับปากมากและได้รสชาติเครื่องเทศที่หมัก ซึมถึงเนื้อในรสชาติดีถูกปากจริงๆ
เครื่องดื่มรสดีจากBarn Coffee
       นอกจากนี้แล้วก็ยังมีเมนูจานเด่นอื่นๆ ที่ชวนลองลิ้มอีก อาทิ สเต็กทีโบน 1 ชิ้น 1 กิโลกรัม (1,800 บาท) Foie Gras Cherry Sauce (900 บาท) เซอร์ลอยด์จิ้มแจ่ว (380 บาท) ต้มข่าปลาสลิด (180 บาท) ฯลฯ รวมถึงยังมีชา กาแฟ เครื่องดื่มต่างๆ และไอศกรีมกับเบเกอรี่โฮมเมดขายด้วย ซึ่งอยู่ในส่วนของร้าน Barn Coffee มีเมนูเครื่องดื่มที่อยากแนะนำ อาทิ Barnyen (75 บาท) ชาเย็น (15 บาท) ส่วนเค้กก็มี ช็อคโกแลตอัลมอนด์ (95 บาท) สตรอเบอร์รี่ชีสเค้ก (95 บาท)
บรรยากาศร้านBarn Coffee
       เอาเป็นว่าหากมิตรรักนักกินหิวๆ แล้วผ่านมาแถวซ.สุขุมวิท 36 ก็ขอแนะนำให้แวะมาดับความหิวเติมเต็มความอิ่มกับอาหารอันหลากหลายได้ที่ร้าน “Barn@36” ที่มีบรรยากาศเหมือนโรงนากลางกรุงชวนนั่งสบายๆ
       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
      
       ร้าน “Barn@36” ตั้ง อยู่ที่ 67 ซอยสุขุมวิท 36 สุขุมวิท คลองตัน คลองเตย กรุงเทพฯ การเดินทางถ้ามาจากถ.สุขุมวิท ให้ตรงมาที่ซ.สุขุมวิท 36 เข้ามาในซอยแล้วจะเห็นร้านBarn@36 อยู่ด้านซ้ายมือ มีป้ายร้านให้เห็นชัดเจน เปิดทุกวัน เวลา 11.00-23.00 น. ที่ร้านรับจัดงานเลี้ยงทั้งในและนอกสถานที่ด้วย โทร. 0-2258-5937, 0-2260-4292, 08-6328-8989 หรือเข้าไปดูราละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.barn36.com/

“Barn@36” โรงนาแห่งความอร่อย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 ตุลาคม 2554 15:35 น.
บรรยากาศร้านBarn@36 โปร่งโล่งนั่งสบาย
       ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ!! ว่าใจกลางกรุงเทพฯ อย่างซอยสุขุมวิท 36 จะมีโรงนาขนาดใหญ่มาตั้งอยู่
      
       แต่อย่าเพิ่งแปลกใจไปว่าโรงนาเก็บข้าวที่ไหนจะมาตั้งอยู่ในซอย สุขุมวิท 36 กัน เพราะโรงนาที่ “ตระเวนกิน” กำลังพูดถึงนี้แท้ที่จริงแล้วก็คือร้านอาหารขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า “Barn@36” (บานแอทสามสิบหก) เป็นร้านอาหารที่ชวนนั่ง บรรยากาศตกแต่งเหมือนโรงนาสไตล์ตะวันตกกึ่งรีสอร์ทที่ผสมผสานธรรมชาติและ ความสะดวกสบายเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว ตรงตามคอนเซ็ปต์ของทางร้านที่ว่าเป็น โรงนากลางซอยสุขุมวิท
บรรยากาศห้องแอร์นั่งสบาย
       ภายในร้านจัดพื้นที่โต๊ะนั่งไว้อย่างโปร่งโล่งสบายๆ รับลมธรรมชาติเย็นๆ แถมยังมีห้องแอร์ไว้คอยบริการ และมีมุมสวนเล็กๆ ให้เลือกนั่งตามใจชอบ อีกทั้งยังมีนักดนตรีมาเล่นเพลงสดให้ฟังในทุกวัน มีทั้งแนวโฟล์คซอง คันทรี่และป๊อป ตั้งแต่เวลา 19.30-21.00 น. แบบว่ากินอาหารไปด้วยฟังเพลงเพราะๆ ไปด้วยช่างเพลิดเพลินเสียจริงเชียว
      
       ส่วนเรื่องอาหารของที่ร้านนี้เน้นเป็นสเต็กเฮ้าส์ ที่ได้นำเอาสเต็กชั้นยอดรสดีจาก บ้านสเต็ก โบนันซ่า เขาใหญ่มา เป็นเมนูสเต็กจานเด็ดให้คอกินสเต็กได้อิ่มหนำกันแบบจุใจ รวมถึงยังมีเมนูก๋วยเตี่ยวขึ้นชื่อของทางร้านและอาหารไทยโบราณที่ถึงแม้จะมี เมนูไม่มากมายแต่ก็มีให้เลือกสั่งมาลิ้มรส
ก๋วยเตี๋ยวโรงนา
       สำหรับเมนูอาหารจานเด็ดที่อยากแนะนำให้ลิ้มรสกันให้ได้ก็มี ก๋วยเตี๋ยวโรงนา (80 บาท) เป็นเมนูเด่นของทางร้านแต่จะมีขายเฉพาะช่วงกลางวัน 11.00-15.00 น. เป็นก๋วยเตี๋ยวคล้ายกับก๋วยเตี๋ยวเลียงที่มีส่วนผสมของเครื่องสมุนไพรไทยมาก มาย ซึ่งทางร้านได้คิดสูตรเฉพาะขึ้นมาใหม่เป็นสไตล์ของตัวเอง มีเครื่องหลายอย่างที่ใส่มาในชามมีทั้งเนื้อหมูที่เคี้ยวนุ่ม ตับหมูเคี้ยวนิ่ม หมูตุ๋นจากส่วนขั้วตับเนื้อเปื่อยนุ่ม และลูกชิ้นหมูเคี้ยวเด้งปาก และน้ำซุปนั้นหอมกลิ่นเครื่องเทศรสหวานกลมกล่อม เพราะเป็นน้ำซุปกระดูกหมูที่ต้มเคี่ยวรวมกับสมุนไพร ส่วนเส้นนั้นมีแต่เส้นเล็กอย่างเดียว (ที่ทางร้านเรียกว่าเส้นเวียดนาม) มีความเหนียวนุ่มกินอร่อยปากดี
ขนมปังอบชีส
       จากนั้นมาชิมเมนูกินเล่นที่อร่อยและขายดี นั่นคือ ขนมปังอบชีส (180 บาท) เป็นขนมปังฝรั่งเศสที่ทางร้านสั่งมาเป็นพิเศษนำมาหั่นเป็นชิ้นแล้วทาด้วยพา เมซานชีสและมอสซาเรลลาชีส แล้วก็นำเข้าเตาอบ เสิร์ฟมาร้อนๆ ได้กลิ่นชีสหอมๆ โชยเข้าจมูกกินขนมปังกรอบนอกเนื้อในนุ่มฉ่ำชีสหนืดๆรสดีถูกใจถูกปากคนชอบชี สกันไป
ไส้กรอกรมควัน
       แล้วก็ขอเอาใจคนชอบกินไส้กรอกต้องสั่งเมนูนี้ ไส้กรอกรมควัน (120 บาท) เป็นไส้กรอกสูตรจากบ้านสเต็กที่เขาใหญ่ ที่ทางร้านสั่งทำเป็นพิเศษ เป็นไส้กรอกหมูล้วนๆ ที่ผ่านการรมควันแล้วนำมาย่างอีกที กินแล้วถูกใจปากมากๆ ตรงที่เนื้อไส้กรอกได้รสชาติของหมูล้วนๆ เคี้ยวเด้งกรึบปากมากๆ
สปาเก็ตตี้ปลาเค็ม+แฮม
       และหันมากินเมนูเส้นกันบ้างที่อยากแนะนำมี สปาเก็ตตี้ปลาเค็ม+แฮม (280 บาท) ทางร้านนำปลาเค็มที่เลือกมาเป็นพิเศษนำมาอบก่อนแล้วนำไปแช่กับน้ำมันมะกอก และจึงนำเนื้อปลาเค็มมายีให้ละเอียดและผัดให้เข้ากันกับเส้นสปาเก็ตตี้ พร้อมกับใส่แฮมมาด้วย ชิมแล้วถูกลิ้นเส้นสปาเก็ตตี้เหนียวนุ่มซึมรสปลาเค็มหอมๆ กินเข้ากันกับแฮมรสดี
สปาเก็ตตี้ทะเล
       สปาเก็ตตี้ทะเล (280 บาท) เป็นอีกหนึ่งเมนูจานเส้นที่น่ากิน ทางร้านนำเส้นสปาเก็ตตี้มาผัดกับน้ำมันมะกอก ใส่พริกขี้หนูสด ใส่ปลาแซลมอน กุ้ง หมึก และหอยแมลงภู่ ม้วนเส้นสปาเก็ตตี้เข้าปากเคี้ยวเส้นเด้งนุ่มรสชาติกลมกล่อมออกเผ็ดนิดๆ เข้ากับเครื่องทะเลที่ใส่มาดีแท้
นิวยอร์คสเต็ก
       และก็ต้องไม่พลาดลิ้มรสเมนูสเต็กจานเด่นเมนูนี้ นิวยอร์คสเต็ก (380 บาท) เป็นสเต็กเนื้อ ที่นำเนื้อส่วนริบอายมาหมักกับเครื่องเทศสูตรพิเศษ และน้ำมันสูตรพิเศษ หมักนานกว่า 2 อาทิตย์ ก่อนจะนำมากริลล์ เสิร์ฟมาพร้อมเครื่องเคียงอย่างข้าวโพดอบเนย และข้าวกล้องหุงสุกผัดใส่น้ำมันมะกอกคลุกกับแครอทและพริกหยวก แล่ชิ้นเนื้อสเต็กเคี้ยวนุ่มหนึบหนับปากมากและได้รสชาติเครื่องเทศที่หมัก ซึมถึงเนื้อในรสชาติดีถูกปากจริงๆ
เครื่องดื่มรสดีจากBarn Coffee
       นอกจากนี้แล้วก็ยังมีเมนูจานเด่นอื่นๆ ที่ชวนลองลิ้มอีก อาทิ สเต็กทีโบน 1 ชิ้น 1 กิโลกรัม (1,800 บาท) Foie Gras Cherry Sauce (900 บาท) เซอร์ลอยด์จิ้มแจ่ว (380 บาท) ต้มข่าปลาสลิด (180 บาท) ฯลฯ รวมถึงยังมีชา กาแฟ เครื่องดื่มต่างๆ และไอศกรีมกับเบเกอรี่โฮมเมดขายด้วย ซึ่งอยู่ในส่วนของร้าน Barn Coffee มีเมนูเครื่องดื่มที่อยากแนะนำ อาทิ Barnyen (75 บาท) ชาเย็น (15 บาท) ส่วนเค้กก็มี ช็อคโกแลตอัลมอนด์ (95 บาท) สตรอเบอร์รี่ชีสเค้ก (95 บาท)
บรรยากาศร้านBarn Coffee
       เอาเป็นว่าหากมิตรรักนักกินหิวๆ แล้วผ่านมาแถวซ.สุขุมวิท 36 ก็ขอแนะนำให้แวะมาดับความหิวเติมเต็มความอิ่มกับอาหารอันหลากหลายได้ที่ร้าน “Barn@36” ที่มีบรรยากาศเหมือนโรงนากลางกรุงชวนนั่งสบายๆ
       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
      
       ร้าน “Barn@36” ตั้ง อยู่ที่ 67 ซอยสุขุมวิท 36 สุขุมวิท คลองตัน คลองเตย กรุงเทพฯ การเดินทางถ้ามาจากถ.สุขุมวิท ให้ตรงมาที่ซ.สุขุมวิท 36 เข้ามาในซอยแล้วจะเห็นร้านBarn@36 อยู่ด้านซ้ายมือ มีป้ายร้านให้เห็นชัดเจน เปิดทุกวัน เวลา 11.00-23.00 น. ที่ร้านรับจัดงานเลี้ยงทั้งในและนอกสถานที่ด้วย โทร. 0-2258-5937, 0-2260-4292, 08-6328-8989 หรือเข้าไปดูราละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.barn36.com/

Wednesday, September 28, 2011

“ตำลึง”ประโยชน์ล้นเหลือ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 กุมภาพันธ์ 2548 17:54 น.
       ยังจำผักสวนครัวรั้วกินได้ที่มีชื่อว่า “ตำลึง” กันได้ไหมเอ่ย?
       

       ตำลึง ซึ่งมีลักษณะเป็นเถาไม้เลื้อย มีมือจับเกาะยึดต้นไม้อื่นๆ มีดอกสีขาว มีผลเป็นรูปยาวรีคล้ายแตงกวา มีใบเป็นรูปทรงคล้ายหัวใจ เวลาเอาใบและยอดอ่อนๆ มาแกงจืดกับหมูสับแล้วละก็... อร่อยอย่าบอกใคร
      
       ไม่ใช่แค่อร่อยอย่างเดียว แต่ตำลึงยังมีประโยชน์อีกมาก
มี ทั้งสารเบต้าแคโรทีนที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง ลดน้ำตาลในเลือด และหัวใจขาดเลือด มีแคลเซียมช่วยบำรุงกระดูกและฟัน มีฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก ไนอาซิน และวิตามินซี ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดลพบว่า หากใครกินตำลึงบ่อยๆ เส้นใยอาหารในตำลึงก็สามารถช่วยลดอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะ อาหารและได้อีกด้วย
       

       นอกจากนั้นตามตำราแพทย์แผนโบราณ
ตำลึงถือเป็น ยาเย็น ใบช่วยขับพิษ และถอนพิษไข้ แก้อาการแพ้ อักเสบ แมลงมีพิษกัดต่อย แก้แสบคัน โดยใช้ใบตำลึงสดๆ ประมาณ 1 กำมือมาล้างให้สะอาด แล้วตำให้ละเอียด ผสมน้ำเล็กน้อย นำมาทาบริเวณที่มีอาการคันก็จะหายได้
       

       ตำลึงเป็นผักที่พบได้ง่าย แถมปลูกก็ยังง่าย เพียงแค่เอาเมล็ดจากผลที่สุกจัดๆ มาเพาะ หรือเอาเถาแก่ยาวประมาณ 6-8 นิ้ว มาปักลงในดินผสมปุ๋ย หมั่นรดน้ำบ่อยๆ และหาไม้มาทำหลักให้ตำลึงเลื้อยเมื่อเถาเริ่มงอก ปลูกเอาเองไม่ต้องซื้อของใคร แค่นี้ก็ได้ต้นตำลึงเอาไว้กินแกงจืดกันได้ทุกมื้อ และถ้ายิ่งเด็ด ยอดตำลึงก็จะยิ่งขึ้นงาม เพราะฉะนั้นจะลองเปลี่ยนเมนูเป็นแกงเลียง ต้มเลือดหมู หรือจะนึ่งจิ้มน้ำพริกก็กินกันได้ไม่มีเบื่อ