Friday, November 25, 2011

เคี้ยวมันๆ กับ “อโวคาโดผัดน้ำมันงา” / กุ๊กเล็ก

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 2 เมษายน 2552 14:21 น.

โดย : กุ๊กเล็ก


       เมื่อวันก่อนได้ไปเดินช้อปปิ้งกับเพื่อนสาว แล้วเผอิญเห็นผลอโวคาโดมันเตะตาเข้า ใจก็นึกอยากเคี้ยวเนื้อมันๆของเจ้าอโวคาโดนี้ เลยตัดสินใจซื้อมาสนองอารมณ์สักมื้อ เมื่อกลับมาบ้านก็จัดแจงตระเตรียมส่วนผสมอื่นให้พร้อมสรรพ เพื่อจะทำเมนู “อโวคาโดผัดน้ำมันงา” ให้หายอยาก
      
       
ส่วนผสม
       อโวคาโด 1 ผล
       พริกหวาน 1 ผล
       น้ำมันงา 2 ช้อนโต๊ะ
       น้ำมันหอย 2 ช้อนโต๊ะ
       น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนโต๊ะ
       เกลือ 1/4 ช้อนชา
       น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
       ผักบุ้งจีน ตามชอบใจ
       น้ำต้มสุก เล็กน้อย
       

       ส่วนผสมครบมือแล้วก็ระเบิดความมันโดยการล้างผักให้สะอาด ปอกเปลือกอโวคาโดแล้วหั่นเป็นชิ้นๆพอดีคำ จากนั้นเด็ดยอดอ่อนและใบของผักบุ้งจีน ฝานพริกหวานเป็นแว่นเรียงบนจานเพื่อความสวยงาม แล้วก็ผสมน้ำมันงา น้ำมันหอย น้ำตาลทราย เกลือ คนให้เข้ากันดี เรียบร้อยแล้วก็หันมาตั้งน้ำมัน นำอโวคาโดลงผัดพอหอม เติมน้ำต้มสุกเล็กน้อยแล้วผัดต่อจนอโวคาโดเหลืองสุก ใส่ผักบุ้งจีนลงผัดตามแล้วรีบปรุงรสด้วยเครื่องปรุงที่ผสมไว้ ผัดให้ทั่วจนผักสลดแล้วรีบยกขึ้นตักราดบนจานที่วางเรียงด้วยแว่นพริกหวานให้ สวยงามพร้อมเสิร์ฟได้เลย

เคี้ยวมันๆ กับ “อโวคาโดผัดน้ำมันงา” / กุ๊กเล็ก

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 2 เมษายน 2552 14:21 น.

โดย : กุ๊กเล็ก


       เมื่อวันก่อนได้ไปเดินช้อปปิ้งกับเพื่อนสาว แล้วเผอิญเห็นผลอโวคาโดมันเตะตาเข้า ใจก็นึกอยากเคี้ยวเนื้อมันๆของเจ้าอโวคาโดนี้ เลยตัดสินใจซื้อมาสนองอารมณ์สักมื้อ เมื่อกลับมาบ้านก็จัดแจงตระเตรียมส่วนผสมอื่นให้พร้อมสรรพ เพื่อจะทำเมนู “อโวคาโดผัดน้ำมันงา” ให้หายอยาก
      
       
ส่วนผสม
       อโวคาโด 1 ผล
       พริกหวาน 1 ผล
       น้ำมันงา 2 ช้อนโต๊ะ
       น้ำมันหอย 2 ช้อนโต๊ะ
       น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนโต๊ะ
       เกลือ 1/4 ช้อนชา
       น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
       ผักบุ้งจีน ตามชอบใจ
       น้ำต้มสุก เล็กน้อย
       

       ส่วนผสมครบมือแล้วก็ระเบิดความมันโดยการล้างผักให้สะอาด ปอกเปลือกอโวคาโดแล้วหั่นเป็นชิ้นๆพอดีคำ จากนั้นเด็ดยอดอ่อนและใบของผักบุ้งจีน ฝานพริกหวานเป็นแว่นเรียงบนจานเพื่อความสวยงาม แล้วก็ผสมน้ำมันงา น้ำมันหอย น้ำตาลทราย เกลือ คนให้เข้ากันดี เรียบร้อยแล้วก็หันมาตั้งน้ำมัน นำอโวคาโดลงผัดพอหอม เติมน้ำต้มสุกเล็กน้อยแล้วผัดต่อจนอโวคาโดเหลืองสุก ใส่ผักบุ้งจีนลงผัดตามแล้วรีบปรุงรสด้วยเครื่องปรุงที่ผสมไว้ ผัดให้ทั่วจนผักสลดแล้วรีบยกขึ้นตักราดบนจานที่วางเรียงด้วยแว่นพริกหวานให้ สวยงามพร้อมเสิร์ฟได้เลย

เผ็ดร้อนสะใจ กับ "น้ำพริกนรกกุ้ง" / กุ๊กเล็ก

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 เมษายน 2552 12:03 น.
 โดย : กุ๊กเล็ก


       พายุฤดูร้อนที่พัดผ่านบ้านเมืองของเราในช่วงที่ผ่านมานี้ช่วยลด อุณหภูมิความร้อนให้เบาบางลงไปได้บ้าง และหลังจากที่พายุผ่านพ้นไป คราวนี้แหละเราก็จะได้สัมผัสกับความร้อนที่แท้จริงของเดือนที่ร้อนที่สุดใน รอบปีอย่างเดือนเมษายนกันจริงๆจังๆแล้ว อย่ากระนั้นเลย “กุ๊กเล็ก” ขอเสนอเมนู “น้ำพริกนรกกุ้ง” เพิ่มความร้อนระอุกันให้สุดๆ ไปเลยดีกว่า
      
       
ส่วนผสม
      
       กุ้งแห้ง 1 ถ้วย
       พริกขี้หนูแห้ง 20 เม็ด
       หอมแดง 10 หัว
       กระเทียม 5 หัว
       กะปิเผา 2 ช้อนชา
       มะขามเปียก 2 ช้อนโต๊ะ
       น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
       

       มาเริ่มลงมือทำน้ำพริกนรกกุ้งกันเลยดีกว่า เริ่มนำพริกขี้หนูแห้งไปคั่วให้หอม ไม่ว่าใครจะกินเผ็ดมากหรือเผ็ดน้อย อยากได้นรกขุมไหนก็เพิ่ม-ลดจำนวนพริกได้ตามชอบ เสร็จแล้วนำพริกคั่วนั้นมาโขลกรวมกับกระเทียมและหอมแดงให้ละเอียด เพิ่มรสชาติให้น้ำพริกนรกด้วยกะปิเผาหอมๆ โขลกจนได้ที่แล้วก็เอากุ้งแห้งลงไปออกแรงโขลกต่อให้ละเอียดเข้ากันดี ปรุงรสให้กลมกล่อมด้วยมะขามเปียกและน้ำปลา คลุกเคล้าให้เข้ากันดีแล้วลองชิมรสให้ถูกใจ
      
       จากนั้นหันไปตั้งกระทะให้ร้อน นำเอาส่วนผสมทั้งหมดที่เราโขลกเอาไว้ลงไปคั่วไฟอ่อนๆ จนน้ำพริกนรกนั้นแห้งดี ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย กินกับผักสด หรือไข่ต้มไข่เจียว หรือจะกินคู่กับข้าวสวยร้อนๆเพียงอย่างเดียว ก็อร่อยเหาะ และหากเก็บไว้ในภาชนะมีฝาปิดมิดชิดแช่ตู้เย็นไว้ก็เป็นเสบียงเก็บไว้กินได้ เป็นอาทิตย์ๆเลยล่ะ

เผ็ดร้อนสะใจ กับ "น้ำพริกนรกกุ้ง" / กุ๊กเล็ก

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 เมษายน 2552 12:03 น.
 โดย : กุ๊กเล็ก


       พายุฤดูร้อนที่พัดผ่านบ้านเมืองของเราในช่วงที่ผ่านมานี้ช่วยลด อุณหภูมิความร้อนให้เบาบางลงไปได้บ้าง และหลังจากที่พายุผ่านพ้นไป คราวนี้แหละเราก็จะได้สัมผัสกับความร้อนที่แท้จริงของเดือนที่ร้อนที่สุดใน รอบปีอย่างเดือนเมษายนกันจริงๆจังๆแล้ว อย่ากระนั้นเลย “กุ๊กเล็ก” ขอเสนอเมนู “น้ำพริกนรกกุ้ง” เพิ่มความร้อนระอุกันให้สุดๆ ไปเลยดีกว่า
      
       
ส่วนผสม
      
       กุ้งแห้ง 1 ถ้วย
       พริกขี้หนูแห้ง 20 เม็ด
       หอมแดง 10 หัว
       กระเทียม 5 หัว
       กะปิเผา 2 ช้อนชา
       มะขามเปียก 2 ช้อนโต๊ะ
       น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
       

       มาเริ่มลงมือทำน้ำพริกนรกกุ้งกันเลยดีกว่า เริ่มนำพริกขี้หนูแห้งไปคั่วให้หอม ไม่ว่าใครจะกินเผ็ดมากหรือเผ็ดน้อย อยากได้นรกขุมไหนก็เพิ่ม-ลดจำนวนพริกได้ตามชอบ เสร็จแล้วนำพริกคั่วนั้นมาโขลกรวมกับกระเทียมและหอมแดงให้ละเอียด เพิ่มรสชาติให้น้ำพริกนรกด้วยกะปิเผาหอมๆ โขลกจนได้ที่แล้วก็เอากุ้งแห้งลงไปออกแรงโขลกต่อให้ละเอียดเข้ากันดี ปรุงรสให้กลมกล่อมด้วยมะขามเปียกและน้ำปลา คลุกเคล้าให้เข้ากันดีแล้วลองชิมรสให้ถูกใจ
      
       จากนั้นหันไปตั้งกระทะให้ร้อน นำเอาส่วนผสมทั้งหมดที่เราโขลกเอาไว้ลงไปคั่วไฟอ่อนๆ จนน้ำพริกนรกนั้นแห้งดี ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย กินกับผักสด หรือไข่ต้มไข่เจียว หรือจะกินคู่กับข้าวสวยร้อนๆเพียงอย่างเดียว ก็อร่อยเหาะ และหากเก็บไว้ในภาชนะมีฝาปิดมิดชิดแช่ตู้เย็นไว้ก็เป็นเสบียงเก็บไว้กินได้ เป็นอาทิตย์ๆเลยล่ะ

“ปลาหมึกแดดเดียว” เคี้ยวหนึบถึงใจ

โดย : กุ๊กเล็ก


       ถ้าหากถามว่าเมนูเด็ดจากปลาหมึกนั้นมีอะไรบ้าง สิ่งที่ตอบได้อย่างแรกก็คือ ปลาหมึกย่าง ที่จะได้รสชาติความสดอร่อยของปลาหมึก รวมกับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสแซ่บที่อร่อยโดนใจ แต่ถ้าเบื่อเมนูนี้แล้ว ก็จะนำไปต้มยำทำแกงได้อีกหลายเมนู อย่างในมื้อนี้ที่ “กุ๊กเล็ก” ก็มีเมนูอร่อยเด็ดจาปาหมึกมาให้ลองทำกันดู นั่นก็คือ “ปลาหมึกแดดเดียว”
      
       ส่วนผสมมีดังนี้
       ปลาหมึกกล้วยตัวใหญ่ ประมาณ 1-1 1/2 กิโลกรัม
       น้ำปลาอย่างดี 5 ช้อนชา
       น้ำตาลทราย 2 1/2 ช้อนชา
       น้ำมันสำหรับทอด
      
       วิธีทำ เริ่มจากนำปลาหมึกมาล้างให้สะอาด ลอกหนังออก แล้วพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ จากนั้น ผสมน้ำปลาและน้ำตาลทราย คนให้เข้ากันจนน้ำตาลละลายดี นำปลาหมึกลงไปหมักกับน้ำปลาและน้ำตาลในกล่อง หรือกะละมังใบใหญ่หน่อย จะได้ไม่ต้องซ้อนตัวปลาหมึก ทำให้ปลาหมึกเค็มเท่ากันทั่วทั้งตัว หมักทิ้งไว้อย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง หรือจะหมักทิ้งไว้ข้ามคืนก็ได้ จากนั้นนำมาตากแดดจนปลาหมึกหมาด (ถ้าแดดแรงก็ตากประมาณ 2-3 ชั่วโมง) พอได้ที่แล้วนำมาหั่นเป็นชิ้นพอคำ นำกระทะตั้งไฟกลาง ใส่น้ำมันพอร้อนแล้วใส่ปลาหมึกลงทอดพอเหลือง แล้วตักขึ้นสะเด็ดน้ำมัน ยกขึ้นเสิร์ฟได้เลย


“ซาโมซ่าไส้ผักรวม” อาหารว่างสไตล์อินเดีย โดนใจแบบไร้เนื้อสัตว์
 โดย : กุ๊กเล็ก


       เทศกาลเจแบบนี้ หลายๆ คนคงอยากจะเสาะหาสูตรอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์มาทำกินกันในบ้าน “กุ๊กเล็ก” เลยอยากจะเอาใจคนกินเจเสียหน่อยกับเมนู “ซาโมซ่าไส้ผักรวม” อาหารว่างแบบอินเดีย ที่ได้สูตรอร่อยนี้มาจากโรงแรมใบหยกสวีท รสชาติซาโมซ่าจานนี้อร่อยครบเครื่องด้วยส่วนผสมนานาชนิดแบบไร้เนื้อสัตว์
      
       ส่วนผสมมีดังนี้
       มันเทศ 200 กรัม
       มันฝรั่ง 200 กรัม
       ถั่วลันเตา 200 กรัม
       แครอท 100 กรัม
       มะเขือเทศ 100 กรัม
       หอมใหญ่ 300 กรัม
       วุ้นเส้น (แช่น้ำแล้ว) 300 กรัม
       แผ่นแป้งเปาะเปี๊ยะ 500 กรัม
       ผงขมิ้น ½ ช้อนชา
       ผงมัสล่า 1 ช้อนโต๊ะ
       น้ำตาลทราย 1 ½ ช้อนโต๊ะ
       พริกป่นอินเดีย 1 ½ ช้อนโต๊ะ
       เกลือ ½ ช้อนโต๊ะ
       พริกไทย ½ ช้อนโต๊ะ
       น้ำเปล่า 3 ช้อนโต๊ะ
       เนยอินเดีย 2 ช้อนโต๊ะ
       น้ำมันพืช (สำหรับทอด) 3 ถ้วย
       แป้งเปียกสำหรับห่อ
      
       วิธีทำ เริ่มจากนำผักต่างๆ มาหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็กๆ เตรียมไว้ จากนั้นตั้งกระทะไฟกลาง ใส่เนยอินเดีย นำหอมใหญ่ลงผัดให้หอม จากนั้นใส่มันเทศ มันฝรั่ง แครอท และถั่วลันเตา ผัดจนเกือบสุก ใส่ผงขมิ้น ผงมัสล่า พริกป่นอินเดีย ปรุงรสรสด้วยเกลือ พริกไทย และน้ำตาลทราย ใส่น้ำเปล่า รอจนเดือด แล้วจึงใส่มะเขือเทศและวุ้นเส้นลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน ผัดจนสุกแห้งดีก็ยกลงจากเตาแล้วพักไว้
      
       นำแผ่นแป้งเปาะเปี๊ยะมาห่อกับไส้ที่ผัดไว้ ห่อให้เป็นรูปสามเหลี่ยม ใช้แป้งเปียกทาตรงส่วนที่ทับกันเพื่อให้ซาโมซ่าไม่แตกแยกออกจากกัน จากนั้นนำกระทะตั้งไฟ ใส่น้ำมันพืช รอจนร้อน นำซาโมซ่าที่ห่อไว้ลงทอดให้เหลืองกรอบ แล้วตักขึ้นสะเด็ดน้ำมัน จัดใส่จาน กินเป็นของว่างรองท้องให้อร่อยปาก หรือจะเสิร์ฟอาจาดกินคู่กันมาด้วยก็ยังได้


“สเต็กแซลมอนไวท์ซอส” อิ่มเบาๆ เต็มคุณค่า
โดย : กุ๊กเล็ก


       ช่วงนี้ “กุ๊กเล็ก” รู้สึกว่าอยากจะกินอะไรเบาๆ เพื่อไม่ให้กระเพาะทำงานหนักมากนัก แต่ก็ยังอยากได้สารอาหารที่ครบถ้วนอยู่ ก็เลยลองเสาะอาเมนูเด็ดมาทำกินเองที่บ้าน ซึ่งก็คือเมนู “สเต็กแซลมอนไวท์ซอส” ที่ได้ประโยชน์ทั้งจากเนื้อปลาและผักเครื่องเคียงต่างๆ
      
       ส่วนผสม
       เนื้อปลาแซลมอน ชิ้นละประมาณ 150 - 200 กรัม
       เกลือป่น 1 ช้อนชา
       พริกไทยดำป่น 1 ช้อนชา
       เนยละลาย 2 ช้อนโต๊ะ
       นมสด 1 ถ้วย
       หอมหัวใหญ่ซอย 1/4 ถ้วย
       กานพลู 3-4 ดอก
       วิปปิ้งครีม 1 ช้อนโต๊ะ
       แป้งข้าวโพด 1/2 ช้อนชา
       ไวน์ขาว 1 ช้อนโต๊ะ
       มันฝรั่ง แครอท บล็อกโคลี หรือผักเครื่องเคียงอื่นๆ
      
       วิธีทำ เริ่มจากล้างปลาแซลมอนให้สะอาดแล้วผึ่งไว้ให้สะเด็ดน้ำ โรยเกลือ 1/2 ช้อนชา และพริกไทย 1/2 ช้อนชา ลงบนเนื้อปลาให้ทั่วทั้ง 2 ด้าน นำกระทั้งตั้งไฟกลาง ใส่เนยละลาย 1 ช้อนโต๊ะ แล้วนำเนื้อปลาลงทอดโดยเอาส่วนที่เป็นหนังลงก่อน ทอดจนหนังกรอบแล้วจึงกลับด้านทอดพอสุกแล้วตักขึ้นพักไว้
      
       ส่วนไวท์ซอสเริ่มจากนำนมสดไปต้มพร้อมกับกานพลูและหอมหัวใหญ่ซอยจนหอม เปื่อย จากนั้นกรองเอากากออก ให้เหลือแต่นมสดที่ต้มแล้ว พักไว้ก่อน นำกระทะตั้งไฟ ใส่เนยละลาย 1 ช้อนโต๊ะ แล้วใส่แป้งข้าวโพดผัดพอสุก จากนั้นเทนมที่พักไว้ใส่ลงไป คนให้เข้ากัน ใส่วิปปิ้งครีม เกลือ 1/2 ช้อนชา และพริกไทย 1/2 ช้อนชา พอเดือดอีกครั้งเมไวน์ขาวตามลงไป ปิดไฟ และตักราดเนื้อปลาที่ทอดไว้แล้ว เสิร์ฟพร้อมกับมันฝรั่ง แครอท และบล็อกโคลีต้มเพิ่มคุณค่าทางอาหาร แต่หากชอบผักชนิดอื่นก็สามารถปรับเปลี่ยนได้

“ปลาหมึกแดดเดียว” เคี้ยวหนึบถึงใจ

โดย : กุ๊กเล็ก


       ถ้าหากถามว่าเมนูเด็ดจากปลาหมึกนั้นมีอะไรบ้าง สิ่งที่ตอบได้อย่างแรกก็คือ ปลาหมึกย่าง ที่จะได้รสชาติความสดอร่อยของปลาหมึก รวมกับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสแซ่บที่อร่อยโดนใจ แต่ถ้าเบื่อเมนูนี้แล้ว ก็จะนำไปต้มยำทำแกงได้อีกหลายเมนู อย่างในมื้อนี้ที่ “กุ๊กเล็ก” ก็มีเมนูอร่อยเด็ดจาปาหมึกมาให้ลองทำกันดู นั่นก็คือ “ปลาหมึกแดดเดียว”
      
       ส่วนผสมมีดังนี้
       ปลาหมึกกล้วยตัวใหญ่ ประมาณ 1-1 1/2 กิโลกรัม
       น้ำปลาอย่างดี 5 ช้อนชา
       น้ำตาลทราย 2 1/2 ช้อนชา
       น้ำมันสำหรับทอด
      
       วิธีทำ เริ่มจากนำปลาหมึกมาล้างให้สะอาด ลอกหนังออก แล้วพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ จากนั้น ผสมน้ำปลาและน้ำตาลทราย คนให้เข้ากันจนน้ำตาลละลายดี นำปลาหมึกลงไปหมักกับน้ำปลาและน้ำตาลในกล่อง หรือกะละมังใบใหญ่หน่อย จะได้ไม่ต้องซ้อนตัวปลาหมึก ทำให้ปลาหมึกเค็มเท่ากันทั่วทั้งตัว หมักทิ้งไว้อย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง หรือจะหมักทิ้งไว้ข้ามคืนก็ได้ จากนั้นนำมาตากแดดจนปลาหมึกหมาด (ถ้าแดดแรงก็ตากประมาณ 2-3 ชั่วโมง) พอได้ที่แล้วนำมาหั่นเป็นชิ้นพอคำ นำกระทะตั้งไฟกลาง ใส่น้ำมันพอร้อนแล้วใส่ปลาหมึกลงทอดพอเหลือง แล้วตักขึ้นสะเด็ดน้ำมัน ยกขึ้นเสิร์ฟได้เลย


“ซาโมซ่าไส้ผักรวม” อาหารว่างสไตล์อินเดีย โดนใจแบบไร้เนื้อสัตว์
 โดย : กุ๊กเล็ก


       เทศกาลเจแบบนี้ หลายๆ คนคงอยากจะเสาะหาสูตรอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์มาทำกินกันในบ้าน “กุ๊กเล็ก” เลยอยากจะเอาใจคนกินเจเสียหน่อยกับเมนู “ซาโมซ่าไส้ผักรวม” อาหารว่างแบบอินเดีย ที่ได้สูตรอร่อยนี้มาจากโรงแรมใบหยกสวีท รสชาติซาโมซ่าจานนี้อร่อยครบเครื่องด้วยส่วนผสมนานาชนิดแบบไร้เนื้อสัตว์
      
       ส่วนผสมมีดังนี้
       มันเทศ 200 กรัม
       มันฝรั่ง 200 กรัม
       ถั่วลันเตา 200 กรัม
       แครอท 100 กรัม
       มะเขือเทศ 100 กรัม
       หอมใหญ่ 300 กรัม
       วุ้นเส้น (แช่น้ำแล้ว) 300 กรัม
       แผ่นแป้งเปาะเปี๊ยะ 500 กรัม
       ผงขมิ้น ½ ช้อนชา
       ผงมัสล่า 1 ช้อนโต๊ะ
       น้ำตาลทราย 1 ½ ช้อนโต๊ะ
       พริกป่นอินเดีย 1 ½ ช้อนโต๊ะ
       เกลือ ½ ช้อนโต๊ะ
       พริกไทย ½ ช้อนโต๊ะ
       น้ำเปล่า 3 ช้อนโต๊ะ
       เนยอินเดีย 2 ช้อนโต๊ะ
       น้ำมันพืช (สำหรับทอด) 3 ถ้วย
       แป้งเปียกสำหรับห่อ
      
       วิธีทำ เริ่มจากนำผักต่างๆ มาหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็กๆ เตรียมไว้ จากนั้นตั้งกระทะไฟกลาง ใส่เนยอินเดีย นำหอมใหญ่ลงผัดให้หอม จากนั้นใส่มันเทศ มันฝรั่ง แครอท และถั่วลันเตา ผัดจนเกือบสุก ใส่ผงขมิ้น ผงมัสล่า พริกป่นอินเดีย ปรุงรสรสด้วยเกลือ พริกไทย และน้ำตาลทราย ใส่น้ำเปล่า รอจนเดือด แล้วจึงใส่มะเขือเทศและวุ้นเส้นลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน ผัดจนสุกแห้งดีก็ยกลงจากเตาแล้วพักไว้
      
       นำแผ่นแป้งเปาะเปี๊ยะมาห่อกับไส้ที่ผัดไว้ ห่อให้เป็นรูปสามเหลี่ยม ใช้แป้งเปียกทาตรงส่วนที่ทับกันเพื่อให้ซาโมซ่าไม่แตกแยกออกจากกัน จากนั้นนำกระทะตั้งไฟ ใส่น้ำมันพืช รอจนร้อน นำซาโมซ่าที่ห่อไว้ลงทอดให้เหลืองกรอบ แล้วตักขึ้นสะเด็ดน้ำมัน จัดใส่จาน กินเป็นของว่างรองท้องให้อร่อยปาก หรือจะเสิร์ฟอาจาดกินคู่กันมาด้วยก็ยังได้


“สเต็กแซลมอนไวท์ซอส” อิ่มเบาๆ เต็มคุณค่า
โดย : กุ๊กเล็ก


       ช่วงนี้ “กุ๊กเล็ก” รู้สึกว่าอยากจะกินอะไรเบาๆ เพื่อไม่ให้กระเพาะทำงานหนักมากนัก แต่ก็ยังอยากได้สารอาหารที่ครบถ้วนอยู่ ก็เลยลองเสาะอาเมนูเด็ดมาทำกินเองที่บ้าน ซึ่งก็คือเมนู “สเต็กแซลมอนไวท์ซอส” ที่ได้ประโยชน์ทั้งจากเนื้อปลาและผักเครื่องเคียงต่างๆ
      
       ส่วนผสม
       เนื้อปลาแซลมอน ชิ้นละประมาณ 150 - 200 กรัม
       เกลือป่น 1 ช้อนชา
       พริกไทยดำป่น 1 ช้อนชา
       เนยละลาย 2 ช้อนโต๊ะ
       นมสด 1 ถ้วย
       หอมหัวใหญ่ซอย 1/4 ถ้วย
       กานพลู 3-4 ดอก
       วิปปิ้งครีม 1 ช้อนโต๊ะ
       แป้งข้าวโพด 1/2 ช้อนชา
       ไวน์ขาว 1 ช้อนโต๊ะ
       มันฝรั่ง แครอท บล็อกโคลี หรือผักเครื่องเคียงอื่นๆ
      
       วิธีทำ เริ่มจากล้างปลาแซลมอนให้สะอาดแล้วผึ่งไว้ให้สะเด็ดน้ำ โรยเกลือ 1/2 ช้อนชา และพริกไทย 1/2 ช้อนชา ลงบนเนื้อปลาให้ทั่วทั้ง 2 ด้าน นำกระทั้งตั้งไฟกลาง ใส่เนยละลาย 1 ช้อนโต๊ะ แล้วนำเนื้อปลาลงทอดโดยเอาส่วนที่เป็นหนังลงก่อน ทอดจนหนังกรอบแล้วจึงกลับด้านทอดพอสุกแล้วตักขึ้นพักไว้
      
       ส่วนไวท์ซอสเริ่มจากนำนมสดไปต้มพร้อมกับกานพลูและหอมหัวใหญ่ซอยจนหอม เปื่อย จากนั้นกรองเอากากออก ให้เหลือแต่นมสดที่ต้มแล้ว พักไว้ก่อน นำกระทะตั้งไฟ ใส่เนยละลาย 1 ช้อนโต๊ะ แล้วใส่แป้งข้าวโพดผัดพอสุก จากนั้นเทนมที่พักไว้ใส่ลงไป คนให้เข้ากัน ใส่วิปปิ้งครีม เกลือ 1/2 ช้อนชา และพริกไทย 1/2 ช้อนชา พอเดือดอีกครั้งเมไวน์ขาวตามลงไป ปิดไฟ และตักราดเนื้อปลาที่ทอดไว้แล้ว เสิร์ฟพร้อมกับมันฝรั่ง แครอท และบล็อกโคลีต้มเพิ่มคุณค่าทางอาหาร แต่หากชอบผักชนิดอื่นก็สามารถปรับเปลี่ยนได้

“นัทเตาปูน” หมูนุ่ม น้ำซุปหอม ยั่วน้ำลาย

บรรยากาศภายในร้าน
       สถานการณ์น้ำท่วมในช่วงนี้ดูจะบรรเทาเบาบางลงบ้างแล้ว เลยทำให้ “ผ่านมาแวะกิน” อยากจะชวนเพื่อนฝูงไปหาของอร่อยกินให้สบายใจเหมือนเดิม ซึ่งในคราวนี้ก็ได้แวะเวียนมาที่ร้าน “นัทเตาปูน” แถวๆ ถ.ประชาชื่น ริมคลองประปา
      
       หากว่าฟังชื่อแล้วนึกไม่ออกว่าร้านนี้ขายอาหารประเภทไหน เราก็ขอเฉลยเลยแล้วกันว่าร้านนี้เขาขายอาหารจำพวกก๋วยเตี๋ยวหมู ทั้งน้ำ ทั้งแห้ง รวมไปจนถึงเกาเหลาเลือดหมู และจุดเด่นที่อยู่คู่กับร้านมาเกือบ 30 ปีแล้ว นั่นก็คือ เนื้อหมูที่นุ่มอร่อยถูกปาก
เกี๊ยวน้ำ
       ถ้าจะมาชิมก๋วยเตี๋ยวอร่อยๆ นั้น ก็ต้องเริ่มต้นกันด้วยการลิ้มรสน้ำซุปที่หอมเตะจมูก ซึ่งที่ร้าน “นัทเตาปูน” ก็มีสูตรเด็ดตรงที่น้ำซุปเคี่ยวจากกระดูกหมูแท้ๆ ปรุงรสเล็กน้อยด้วยเกลือ และพริกไทย แถมยังใส่ใบเตยลงไปต้มด้วยเพื่อเพิ่มความหอม เคี่ยวไป 3-4 ชั่วโมง ก็จะได้น้ำซุปที่กลมกล่อมหอมอร่อย
      
       ส่วนที่บอกว่าจุดเด่นอยู่ที่หมูนุ่มนั้น ทางร้านก็จะเลือกเนื้อหมูมาเป็นพิเศษ นำมาหมักด้วยสูตรเฉพาะ แล้วลวกแค่พอสุก และอีกหนึ่งความอร่อยที่ต้องชิมก็คือ หมูกรอบ ที่จะเลือกใช้เนื้อหมูส่วนคอ นำมาหมัก แล้วชุบแป้งทอด ก่อนจะหั่นเป็นชิ้น
ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ
       ได้ทั้งน้ำซุป หมูนุ่ม และหมูกรอบมาแล้ว คราวนี้ก็ต้องมาลองชิมก๋วยเตี๋ยวกันสักที ชามแรกนี้ขอสั่งเมนูขึ้นชื่อของร้าน ซึ่งก็คือ เกี๊ยวน้ำ (40 บาท พิเศษ 50 บาท) เกี๊ยวน้ำชามนี้ประกอบไปด้วยตัวเกี๊ยวที่ทางร้านทำเอง โดยใช้แป้งเกี๊ยวมาห่อกับไส้ที่ทำจากเนื้อหมูบด หมักรวมกับรากผักชี กระเทียม พริกไทย แล้วปรุงรสเล็กน้อย นำไปลวกให้สุก เสิร์ฟมาในชามพร้อมกับ ลูกชิ้นปลา ลูกชิ้นกุ้ง เกี๊ยวปลา หมูนุ่ม และเครื่องในต่างๆ ทั้งตับ ไส้ หัวใจ เซี่ยงจี้ กระเพาะ และตับเหล็ก (ม้าม) ใส่ผักกาดขาวลวกสุก แถมด้วยเกี๊ยวกรอบก็ยังใส่มาให้ด้วย
      
       ลองชิมเกี๊ยวน้ำชามนี้ต้องบอกว่าอร่อยถูกใจ เริ่มต้นจากน้ำซุปที่หอมหวานกลมกล่อม เกี๊ยวหมูคำโตที่นุ่มได้รสชาติ เครื่องในไม่มีกลิ่นคาว แถมความหวานอร่อยจากผักกาดขาวที่เข้ากันชามนี้ได้เป็นอย่างดี
ก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟ
       ชามถัดมาขอต่อด้วย ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ (30 บาท พิเศษ 40 บาท) ซึ่งก๋วยเตี๋ยวที่ร้านนี้จะมีให้เลือกทั้งเส้นใหญ่ เส้นเล็ก เส้นหมี่ เกี้ยมอี๋ บะหมี่ และวุ้นเส้น ส่วนชามนี้เราเลือกมาเป็นบะหมี่ต้มยำ ที่ถูกปรุงรสต้มยำมาให้สีสันจัดจ้าน ใส่ทั้งพริกป่นและถั่วลิสงป่นใหม่ๆ ได้กลิ่นหอม เครื่องเคราที่ใส่มาก็ครบครันทุกอย่าง แถมด้วยหมูกรอบอีกหนึ่งอย่าง ลองชิมแล้วรสชาติต้มยำชามนี้จัดจ้านจี๊ดใจ หมูกรอบก็กรอบนอกนุ่มใน ได้รสชาติพอดี
      
       ส่วนชามนี้ ก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟ (30 บาท พิเศษ 40 บาท) จะใส่หมูนุ่ม หมูกรอบ ลูกชิ้นปลา ลูกชิ้นกุ้ง เกี๊ยวปลา เลือดหมู ปลาหมึกกรอบ ผักบุ้ง และเกี๊ยวกรอบ ลองชิมเย็นตาโฟรสชาติเค็มๆ เปรี้ยวๆ ได้กลิ่นเต้าหู้ยี้ ส่วนลูกชิ้นก็เคี้ยวเด้ง ไม่คาว อร่อยถูกใจ
ก๋วยเตี๋ยวแห้ง
       แถมท้ายด้วยอีกชามที่ ก๋วยเตี๋ยวแห้ง (30 บาท พิเศษ 40 บาท) ที่ใส่เครื่องเครามาครบครัน อร่อยแบบแตกต่างจากก๋วยเตี๋ยวน้ำ แต่ถ้าหากใครไม่ชอบเส้น จะสั่ง เกาเหลาเลือดหมู (40 บาท พิเศษ 50 บาท) มาลองชิมอีกสักหน่อยก็ไม่ผิดกติกา
      
       ใครผ่านไปผ่านมา อยากจะแวะมาดูน้ำแถวคลองประปา ก็แวะมาเติมความอิ่มให้เต็มกระเพาะกันที่ร้าน “นัทเตาปูน” แห่งนี้ ก็จะได้อิ่มอร่อยถูกใจกันไป แต่ร้านนี้ยังมีอีกหนึ่งสาขา บน ถ.กรุงเทพ-นนทบุรี บริเวณตรงข้าม ธ.กสิกรไทย สาขาเตาปูน ให้แวะเวียนไปลองชิมกันได้
      
       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
      
       ร้าน “นัทเตาปูน” ตั้งอยู่ที่ 457/7 ปากซอยประชาชื่น 16 ถ.ประชาชื่น แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กทม. การเดินทางถ้ามาจากแยกบางโพ ให้ตรงมาทาง ถ.ประชาราษฎร์สาย 2 จนถึงแยกตัดคลองประปา ให้เลี้ยวซ้ายเข้า ถ.ประชาชื่น วิ่งตรงมาเรื่อยๆ สังเกตทางซ้ายมือจะเห็น ซ.ประชาชื่น 16 ร้านจะอยู่บริเวณปากซอยติดริมถนน ใกล้กับสะพานลอย สามารถจอดรถได้ริมถนน ร้านเปิดทุกวัน (หยุดอังคารเว้นอังคาร) เวลา 08.00-15.00 น. โทร. 0-2556-1815 ส่วนอีกหนึ่งสาขาตั้งอยู่ตรงข้าม ธ.กสิกรไทย สาขาเตาปูน โทร. 0-2911-2881

“นัทเตาปูน” หมูนุ่ม น้ำซุปหอม ยั่วน้ำลาย

บรรยากาศภายในร้าน
       สถานการณ์น้ำท่วมในช่วงนี้ดูจะบรรเทาเบาบางลงบ้างแล้ว เลยทำให้ “ผ่านมาแวะกิน” อยากจะชวนเพื่อนฝูงไปหาของอร่อยกินให้สบายใจเหมือนเดิม ซึ่งในคราวนี้ก็ได้แวะเวียนมาที่ร้าน “นัทเตาปูน” แถวๆ ถ.ประชาชื่น ริมคลองประปา
      
       หากว่าฟังชื่อแล้วนึกไม่ออกว่าร้านนี้ขายอาหารประเภทไหน เราก็ขอเฉลยเลยแล้วกันว่าร้านนี้เขาขายอาหารจำพวกก๋วยเตี๋ยวหมู ทั้งน้ำ ทั้งแห้ง รวมไปจนถึงเกาเหลาเลือดหมู และจุดเด่นที่อยู่คู่กับร้านมาเกือบ 30 ปีแล้ว นั่นก็คือ เนื้อหมูที่นุ่มอร่อยถูกปาก
เกี๊ยวน้ำ
       ถ้าจะมาชิมก๋วยเตี๋ยวอร่อยๆ นั้น ก็ต้องเริ่มต้นกันด้วยการลิ้มรสน้ำซุปที่หอมเตะจมูก ซึ่งที่ร้าน “นัทเตาปูน” ก็มีสูตรเด็ดตรงที่น้ำซุปเคี่ยวจากกระดูกหมูแท้ๆ ปรุงรสเล็กน้อยด้วยเกลือ และพริกไทย แถมยังใส่ใบเตยลงไปต้มด้วยเพื่อเพิ่มความหอม เคี่ยวไป 3-4 ชั่วโมง ก็จะได้น้ำซุปที่กลมกล่อมหอมอร่อย
      
       ส่วนที่บอกว่าจุดเด่นอยู่ที่หมูนุ่มนั้น ทางร้านก็จะเลือกเนื้อหมูมาเป็นพิเศษ นำมาหมักด้วยสูตรเฉพาะ แล้วลวกแค่พอสุก และอีกหนึ่งความอร่อยที่ต้องชิมก็คือ หมูกรอบ ที่จะเลือกใช้เนื้อหมูส่วนคอ นำมาหมัก แล้วชุบแป้งทอด ก่อนจะหั่นเป็นชิ้น
ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ
       ได้ทั้งน้ำซุป หมูนุ่ม และหมูกรอบมาแล้ว คราวนี้ก็ต้องมาลองชิมก๋วยเตี๋ยวกันสักที ชามแรกนี้ขอสั่งเมนูขึ้นชื่อของร้าน ซึ่งก็คือ เกี๊ยวน้ำ (40 บาท พิเศษ 50 บาท) เกี๊ยวน้ำชามนี้ประกอบไปด้วยตัวเกี๊ยวที่ทางร้านทำเอง โดยใช้แป้งเกี๊ยวมาห่อกับไส้ที่ทำจากเนื้อหมูบด หมักรวมกับรากผักชี กระเทียม พริกไทย แล้วปรุงรสเล็กน้อย นำไปลวกให้สุก เสิร์ฟมาในชามพร้อมกับ ลูกชิ้นปลา ลูกชิ้นกุ้ง เกี๊ยวปลา หมูนุ่ม และเครื่องในต่างๆ ทั้งตับ ไส้ หัวใจ เซี่ยงจี้ กระเพาะ และตับเหล็ก (ม้าม) ใส่ผักกาดขาวลวกสุก แถมด้วยเกี๊ยวกรอบก็ยังใส่มาให้ด้วย
      
       ลองชิมเกี๊ยวน้ำชามนี้ต้องบอกว่าอร่อยถูกใจ เริ่มต้นจากน้ำซุปที่หอมหวานกลมกล่อม เกี๊ยวหมูคำโตที่นุ่มได้รสชาติ เครื่องในไม่มีกลิ่นคาว แถมความหวานอร่อยจากผักกาดขาวที่เข้ากันชามนี้ได้เป็นอย่างดี
ก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟ
       ชามถัดมาขอต่อด้วย ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ (30 บาท พิเศษ 40 บาท) ซึ่งก๋วยเตี๋ยวที่ร้านนี้จะมีให้เลือกทั้งเส้นใหญ่ เส้นเล็ก เส้นหมี่ เกี้ยมอี๋ บะหมี่ และวุ้นเส้น ส่วนชามนี้เราเลือกมาเป็นบะหมี่ต้มยำ ที่ถูกปรุงรสต้มยำมาให้สีสันจัดจ้าน ใส่ทั้งพริกป่นและถั่วลิสงป่นใหม่ๆ ได้กลิ่นหอม เครื่องเคราที่ใส่มาก็ครบครันทุกอย่าง แถมด้วยหมูกรอบอีกหนึ่งอย่าง ลองชิมแล้วรสชาติต้มยำชามนี้จัดจ้านจี๊ดใจ หมูกรอบก็กรอบนอกนุ่มใน ได้รสชาติพอดี
      
       ส่วนชามนี้ ก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟ (30 บาท พิเศษ 40 บาท) จะใส่หมูนุ่ม หมูกรอบ ลูกชิ้นปลา ลูกชิ้นกุ้ง เกี๊ยวปลา เลือดหมู ปลาหมึกกรอบ ผักบุ้ง และเกี๊ยวกรอบ ลองชิมเย็นตาโฟรสชาติเค็มๆ เปรี้ยวๆ ได้กลิ่นเต้าหู้ยี้ ส่วนลูกชิ้นก็เคี้ยวเด้ง ไม่คาว อร่อยถูกใจ
ก๋วยเตี๋ยวแห้ง
       แถมท้ายด้วยอีกชามที่ ก๋วยเตี๋ยวแห้ง (30 บาท พิเศษ 40 บาท) ที่ใส่เครื่องเครามาครบครัน อร่อยแบบแตกต่างจากก๋วยเตี๋ยวน้ำ แต่ถ้าหากใครไม่ชอบเส้น จะสั่ง เกาเหลาเลือดหมู (40 บาท พิเศษ 50 บาท) มาลองชิมอีกสักหน่อยก็ไม่ผิดกติกา
      
       ใครผ่านไปผ่านมา อยากจะแวะมาดูน้ำแถวคลองประปา ก็แวะมาเติมความอิ่มให้เต็มกระเพาะกันที่ร้าน “นัทเตาปูน” แห่งนี้ ก็จะได้อิ่มอร่อยถูกใจกันไป แต่ร้านนี้ยังมีอีกหนึ่งสาขา บน ถ.กรุงเทพ-นนทบุรี บริเวณตรงข้าม ธ.กสิกรไทย สาขาเตาปูน ให้แวะเวียนไปลองชิมกันได้
      
       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
      
       ร้าน “นัทเตาปูน” ตั้งอยู่ที่ 457/7 ปากซอยประชาชื่น 16 ถ.ประชาชื่น แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กทม. การเดินทางถ้ามาจากแยกบางโพ ให้ตรงมาทาง ถ.ประชาราษฎร์สาย 2 จนถึงแยกตัดคลองประปา ให้เลี้ยวซ้ายเข้า ถ.ประชาชื่น วิ่งตรงมาเรื่อยๆ สังเกตทางซ้ายมือจะเห็น ซ.ประชาชื่น 16 ร้านจะอยู่บริเวณปากซอยติดริมถนน ใกล้กับสะพานลอย สามารถจอดรถได้ริมถนน ร้านเปิดทุกวัน (หยุดอังคารเว้นอังคาร) เวลา 08.00-15.00 น. โทร. 0-2556-1815 ส่วนอีกหนึ่งสาขาตั้งอยู่ตรงข้าม ธ.กสิกรไทย สาขาเตาปูน โทร. 0-2911-2881

Monday, November 21, 2011

“KOI” อร่อยรสญี่ปุ่นสไตล์แคลิฟอร์เนีย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 17 พฤศจิกายน 2554 13:23 น.

บรรยากาศภายในร้าน “KOI”
       “อาหารญี่ปุ่น” เป็นหนึ่งในอาหารต่างชาติที่มีนัก กินชาวไทยชื่นชอบในรสชาติและหน้าตาที่มีสวยงามและสดอร่อย ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นอาหารญี่ปุ่นประยุกต์และรสชาติดั้งเดิม
      
       แต่ในมื้อนี้ “ตระเวนกิน” จะขอพาแฟนๆ คออาหารญี่ปุ่นไปลองลิ้มอาหารญี่ปุ่นอีกหนึ่งสไตล์ที่มีความน่าสนใจ โดยขอพามาที่ร้าน “KOI” (คอย แปลว่า ความรัก) ที่นี่เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นสไตล์แคลิฟอร์เนีย เปิดตัวครั้งแรกที่ L.A. ลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศอเมริกา และได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แล้วได้เปิดตัว KOI นิวยอร์กและลาสเวกัสในเวลาต่อมา และก็ได้มาเปิดร้าน KOI Bangkok ตั้งอยู่ใจกลาง ซ.สุขุมวิท 20 มานานกว่า 5 ปีแล้ว
บรรยากาศห้องวีไอพี
       ร้าน “KOI” ที่เมืองไทยจะออกแบบตกแต่งร้านสไตล์เอเชีย มีความโมเดิร์นดูเรียบหรูด้วยโทนสีดำแดง และแฝงไว้ด้วยความโรแมนติก แวดล้อมด้วยสวนที่ดูเงียบสงบ มีความเป็นส่วนตัว สามารถเลือกนั่งได้ในหลายโซนตามใจชอบ ไม่ว่าจะเป็นโซนในสวน หรือจะเป็นภายในห้องกระจกที่มีโต๊ะนั่งสบาย และโต๊ะโซฟา รวมถึงยังมีโต๊ะแบบซูชิบาร์ที่จะได้เชฟทำอาหารด้วย แล้วก็ยังส่วนของชั้น 2 ที่จะมีห้องวีไอพีบริการอีกด้วย
      
       ส่วนเรื่องอาหารที่ร้าน KOI นำเสนออาหารญี่ปุ่นปรุงแต่งด้วยกลิ่นอายสไตล์แคลิฟอร์เนีย ที่ผสมผสานสไตล์ตะวันออก เข้ากับสไตล์ตะวันตกได้อย่างลงตัว และยังคงรสชาติความเป็นญี่ปุ่นไว้ในอาหาร ทั้งด้วยส่วนผสมและหน้าตาของอาหารที่รังสรรค์เป็นเมนูที่มีความโดดเด่นเป็น เอกลักษณ์ มีการนำเข้าวัตถุดิบคุณภาพ สดๆ และปรุงใหม่ทุกวัน คงไว้ซึ่งเอกลักษณ์และความเป็น KOI ที่เหมือนกันทั่วโลก เสมือนปรุงจากครัวเดียวกัน
Grilled Mixed Sea Food Salad
       เมนูอาหารที่น่าลองลิ้มนั้นมีมากมาย อย่างในมื้อนี้เราขอนำเสนอเมนูจานเด่นประจำร้านที่ถ้ามาแล้วต้องสั่งมากิน กันให้ได้ก็มีอยู่หลายเมนู
      
       เริ่มด้วยเมนูแรก Grilled Mixed Sea Food Salad (580 บาท++) เป็นเมนูใหม่ที่น่ากินมากๆ เพราะเป็นผักสลัดสดๆ มีทั้งหัวไชเท้าญี่ปุ่น แตงกวาสไลด์ หอมแดงสไลด์ มะเขือเทศสีด พริกหวานแดงสไลด์ คลุกเคล้ากับซีฟู้ดหลายอย่าง มีลอบส์เตอร์ กุ้งสด หมึก หอยแมลงภู่ ปลาทะเลเนื้อขาว และหอยเซลล์ ราดด้วยน้ำสลัดสูตรเฉพาะของทางร้าน กินแล้วผักสลัดกรุบกรอบเข้ากับเครื่องทะเลสดๆ และน้ำสลัดรสกลมกล่อมถูกปาก
Yellowtail Fusion Soy Yuzu & Truffle Oil
       เมนูต่อมาคือ Yellowtail Fusion Soy Yuzu & Truffle Oil (550 บาท++) เป็นเนื้อปลาทะเล Yellowtail ที่แล่มาเป็นชิ้นบางๆ แล้วราดด้วยซอส Soy Yuzu และ Truffle Oil และบนเนื้อปลายังมีหอมซอยกับพริกหวาน เวลากินให้กินทั้งเนื้อปลาและหอมซอยกับพริกพร้อมกันเลย จะสัมผัสได้ถึงความนุ่มของเนื้อปลาที่มีความหวานสด และได้รสชาติของซอสที่ออกเปรี้ยวนิดๆ กลมกลืนรสชาติเข้ากับเนื้อปลา หอมซอยและพริกได้อย่างลงตัว แล้วยังมียำสาหร่ายญี่ปุ่นให้กินเคียงกันด้วย
Tuna Tartar on Crispy Wontons
       ถัดมาเป็น Tuna Tartar on Crispy Wontons (380 บาท++) หน้าตาชวนกินเป็นเนื้อปลาทูน่าหั่นเป็นลูกเต๋า และมีเนื้ออโวคาโดหั่นเป็นลูกเต๋า คลุกเคล้ากับไข่กุ้งและสไปซี่มายองเนส ใส่มาบนแผ่นเกี้ยวทอดกรอบ ชิมแล้วเคี้ยวกร้วมคำแผ่นเกี๊ยวกรอบกรุบเข้ากับเนื้อปลาทูน่านุ่มหวาและ เนื้ออโวคาโดนุ่มๆ ได้รสชาติน้ำซอสมายองเนสออกรสเผ็ดนิดๆ
Creamy Rock Shrimp Tempura
       และถ้าชอบกินกุ้งต้องสั่งเมนูนี้ Creamy Rock Shrimp Tempura (420 บาท++) เป็นกุ้งตัวโตชุปแป้งทอดกรอบแล้วราดด้วยซอสสไปซี่สูตรพิเศษของทางร้าน กินแล้วกุ้งเนื้อแน่นเคี้ยวเต็มปากเต็มคำกรอบนอกนุ่มในฉ่ำรสซอสสไปซี่กลม กล่อมถูกใจปาก
Kappa Roll
       จากนั้นมาชิมเมนูใหม่ Kappa Roll (420 บาท++) เป็นแตงกวาสดด้านในสอดไส้ปูนิ่ม ปูอัดผสมมายองเนส ไข่กุ้ง สาหร่ายทะเล ผักสลัด อโวคาโด ห่อม้วนเป็นโรลแล้วหั่นมาเป็นชิ้น กินคู่กับซอสปลาไหลปรุงรสสูตรพิเศษของทางร้าน ชิมแล้วถูกปากตรงที่แตงกวากรุบกรอบเข้ากับปูนิ่มและไส้ต่างๆ ที่อยู่ข้างในและได้รสซอสปลาไหลกลมกล่อมเข้ากันดี
KOI Dragon Roll
       แล้วก็มากิน Koi Dragon Roll (580 บาท++) ที่ด้านในสอดไส้ด้วยปลาไหล แตงกวา ปูอัดผสมมายองเนส กุ้งทอดเทมปุระอโวคาโด แล้วห่อด้วยข้าวญี่ปุ่นและแผ่นสาหร่ายญี่ปุ่นทอดกรอบ คลุกงาดำ โรยหน้าด้วยกากเทมปุระ ราดด้วยซอสปลาไหลและโรยหน้าด้วยงาขาว แต่งจานด้วยซอสพริก ลิ้มรสชาติแล้วถูกปากเคี้ยวคำโตสัมผัสได้ถึงความกรอบกรุบและนุ่มในด้วยข้าว ญี่ปุ่นนุ่มๆ และไส้ต่างๆ รสกลมกลืนเข้ากับซอสถูกปากดีแท้
Grilled Imported Rack of Lamb
       ส่งท้าย“ตระเวนกิน”ของแนะนำ Grilled Imported Rack of Lamb (1,100 บาท++) เป็นซี่โครงแกะจากออสเตรเลียหมักเกลือพริกไทยก่อนจะนำไปกริลล์จนเนื้อสุกได้ ที่ แล้วราดด้วยซอสสไปซี่เทอริยากิ โรยด้วยงาขาวและหอมซอย เสิร์ฟกับมันฝรั่งบด แล่เนื้อแกะส่งเข้าปากเคี้ยวนุ่มหนึบหนับปากได้รสชาติซอสรสกลมกล่อม ไม่มีกลิ่นสาปแกะเลย
      
       ถึงแม้จะแนะนำเมนูเด็ดมาก็หลายเมนูแล้ว แต่ก็ยังมีเมนูจานเด่นอื่นๆ ที่ชวนกินอีกมากมาย อาทิ Crispy Rice Topped with Spicy Tuna (420 บาท++) Salmon Carpaccio Black Truffle & Ponzu (600 บาท++) Shrimp Dynamite on California Roll (580 บาท++) Miso Bronzed Black Cod Medley of Vegetables (780 บาท++) Imported Angus Tenderloin Tepan Style with Teriyaki Sauce (1,200 บาท++) Crispy Fillo Baklava Style (190 บาท++) และอีกสารพัดเมนูอาหารญี่ปุ่นสไตล์แคลิฟอร์เนีย ที่ทางร้าน “KOI” ภูมิใจนำเสนอให้มาลองลิ้มกันด้วยตัวเอง
       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
      
       ร้าน “KOI” (คอย) ตั้งอยู่ที่ 26 ซ.สุขุมวิท 20 คลองเตย กทม. การเดินทางถ้ามาจากถนนสุขุมวิทให้ตรงมาจนถึงซ. สุขุมวิท 20 แล้วตรงเข้ามาในซอยจะเห็นร้าน KOI อยู่ด้านขวามือ มีป้ายร้านให้เห็นชัดเจน มีที่จอดรถให้บริการแบบ Valet Parking เปิดทุกวัน เวลา 18.00 - 23.30 น. ถ้ามากินแนะนำว่าควรโทร. มาจองโต๊ะก่อน โทร. 0-2258-1590 หรือเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.koirestaurantbkk.com และที่ Facebook:http:www.facebook.com/koirestaurantbkk และหากถ้ามากินอาหารที่ร้าน KOI แล้วว่าบอกว่าอ่านมาจากเว็บผู้จัดการ ทางร้านจะมอบส่วนลดให้ 25% (เฉพาะค่าอาหาร)